
แม้การเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังแนะนำ "ซื้อ" หุ้น บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น [ITC] คาดการณ์กำไรไตรมาส 2/68 จะฟื้นตัว QoQ จากปริมาณขายเพิ่มขึ้นทั้งในตลาดสหรัฐและยุโรป รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ผลกระทบจาก Global Minimum Tax (GMT) ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม ซึ่งเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยหนุนกำไร
แนวโน้มครึ่งปีหลังคาดกำไรยังเติบโต HoH เนื่องจากบริษัทมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าเข้ามาแล้วถึง 30-40% ของเป้าหมาย ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของลูกค้าที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีปัจจัยกดดันจากภาษีการค้าของสหรัฐ แต่ราคาหุ้นปัจจุบันได้ สะท้อนความกังวลจากปัจจัยลบไปมากแล้ว
ราคาหุ้น ITC วันนี้ปิดที่ 12.10 บาท ลดลง 0.40 บาท (-3.20%)
ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 15.00
พาย ซื้อ 14.40
หยวนต้า ซื้อ 14.00
บัวหลวง ซื้อ 13.70
ธนชาต ซื้อ 13.30
นักวิเคราะห์จาก บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดกำไรปกติในไตรมาส 2/68 ของ ITC ที่ 767 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.0% QoQ ลดลง 31.6% YoY โดยคาดรายได้ 4,487 ล้านบาท เติบโต 5.6% QoQ แต่ลดลง 1.8% YoY
แม้ปริมาณขายคาดเติบโตเด่นในระดับ 13-15% YoY หนุนจากการเติบโตทั้งตลาดสหรัฐฯ และ EU ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่กลับมาสั่งซื้อจากใตไตรมาส 1/68 ที่ชะลอจากการปรับระดับสต็อก สะท้อนความต้องการของลูกค้าที่ยังมีแนวโน้มที่ดีแม้มีปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจโดยรวมรบกวนอยู่ แต่ราคาขายเฉลี่ยคาดปรับลงสะท้อนภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับได้รับผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้รายได้ในรูปแบบสกุลเงินบาทลดลง
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดฟื้นตัว QoQ จากอัตราใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น และราคาต้นทุนวัตถุดิบลดลง แต่จะยังต่ำกว่าเมื่อเทียบ YoY จากสัดส่วน Premium Mix ลดลง ค่าแรงงานสูงขึ้น และมีการกลับรายการตั้งสำรองสินค้าคงเหลือในปีก่อน
นอกจากนี้ คาดไตรมาส 2/68 บริษัทจะเริ่มรับรู้ผลของ Global Minimun Tax เป็นไตรมาสแรก แต่แนวโน้มอัตราภาษีจ่ายต่ำกว่าที่บริษัทเคย Guidance ไว้เฉลี่ยทั้งปีที่ 7-8.5% เหลือเพียง 4-6% และดีกว่าในประมาณการของเราที่ 8.5%
ทั้งนี้ หากกำไรไตรมาส 2/68 ออกมาใกล้เคียงคาด กำไรปกติในครึ่งปีแรกจะคิดเป็น 48% ของประมาณการทั้งปี และคาดแนวโน้มครึ่งปีหลังจะเติบโต HoH ตามปัจจัยฤดูกาล โดยปัจจุบันบริษัทมี Secured Order สำหรับไตรมาส 3/68 แล้ว 30-40% ของเป้าบริษัท โดยบริษัทไม่เห็นสัญญาณการเร่งออเดอร์ในช่วงที่ผ่านมา จึงคาดจะไม่ได้เกิดผลกระทบจากการ Destocking ของลูกค้า ประกอบกับเห็นสัญญาณของการขนส่งทางเรือที่ดีขึ้นหนุนการรับรู้รายได้
อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามความเสี่ยงหลัก ได้แก่ ความชัดเจนของอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐ หลังวันที่ 7 ก.ค.และปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาคที่อาจกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอลง ซึ่งอาจกระทบต่อแนวโน้มปริมาณขายในระยะถัดไป
เบื้องต้นเราคงประมาณการกำไรปกติปี 68 ที่ 3,050 ล้านบาท ลดลง 20.4% YoY คาดเงินปันผลจ่ายงวด H1/68 ที่ 0.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield 2.8% ราคาหุ้นปัจจุบัน -52% YTD มองว่าสะท้อนปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว และมีโอกาสต่ำที่เราจะต้องปรับประมาณการกำไรปีนี้ลง
ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside Gain จากราคาเหมาะสมของเราที่ 14.00 บาท อยู่ 28.4% จึงปรับคำแนะนำขึ้นจาก Trading เป็น "ซื้อ" ในเชิงกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำอาจรอพิจารณาเข้าลงทุนหลังมีความชัดเจนของอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.พาย คาดว่าในไตรมาส 2/68 ITC จะมีกำไรสุทธิที่ 742 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการแข็งค่าของเงินบาทราว 10% กดดันรายได้ รวมถึงสัดส่วนสินค้าในกลุ่ม Premium น้อยลง แต่หากเทียบกับไตรมาส 1/68 เพิ่มขึ้นจากลูกค้ายุโรปรายใหญ่กลับมาสั่งตามปกติหลังชะลอไป
รายได้ในไตรมาส 2/68 คาดไว้ที่ 4,476 ล้านบาท ลดลง 2% YoY แต่เพิ่มขึ้น 6% QoQ โดยเทียบปีก่อนจากการแข็งค่าของเงินบาท แม้ว่ารายได้สกุลสหรัฐฯ จะเติบโตได้กว่า 11% YoY ตามปริมาณขายเพิ่มขึ้น 13% YoY ส่วนการเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/68 เกิดจากลูกค้าจากยุโรปกลับมาสั่งตามปกติหลังชะลอไปช่วงต้นปี เพื่อปรับปรุงสินค้าในสต็อก
ทั้งนี้ ราคาขายสินค้าเฉลี่ยในไตรมาสนี้จะลดลง เนื่องจากมีสัดส่วนสินค้าในกลุ่ม Mid Price มากขึ้น และทำให้สัดส่วนสินค้าในกลุ่ม Premium ต่ำกว่าระดับ 50% ที่ทำได้ในปีก่อน
กำไรขั้นต้นคาดที่ 24.3% ลดลงจาก 30% ในไตรมาส 2/67 เพราะค่าเสื่อมราคาจากโรงงานใหม่และสัดส่วนสินค้า Premium ที่ลดลง แต่ดีขึ้นเล็กน้อยจาก 24% ในไตรมาส 1/68 หลังราคาปลาทูน่าเริ่มลดลง ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดที่ 439 ล้านบาท เพิ่มจากค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างบริษัทส่วนลดลงจากไตรมาส 1/68 เพราะมีการควบคุมค่าใช้จ่ายภายในมากขึ้น
สำหรับภาษีจ่ายที่ 59 ล้านบาท คิดเป็นอัตราภาษีที่ 7% เพิ่มขึ้นจากการเริ่มเสียภาษีจากผลกระทบของ GMT อย่างไรก็ตาม ระดับดังกล่าวต่ำกว่าที่เคยคาดก่อนหน้านี้เพราะรายได้น้อยกว่าที่คาด
ขณะที่แนวโน้มช่วงครึ่งปีหลังยังต้องรอดูภาพรวมจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ว่าไทยจะถูกเก็บภาษีในอัตราเท่าใด อย่างไรก็ตามในแง่ของคำสั่งซื้อช่วงไตรมาส 3/68 ยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทางผู้บริหารแจ้งว่ามีเข้ามาแล้วกว่า 30-40% ของเป้าที่ตั้งไว้ ขณะที่การออกสินค้าใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีตามแผนอีกประมาณ 7 ประเภท มูลค่ากว่า 21 ล้านเหรียญสหรัฐ
คงกำไรทั้งปีไว้เท่าเดิมก่อนที่ 2,696 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ด้วยผลกระทบจาก GMT ที่ต่ำกว่าคาดไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้เราอาจจะมีการปรับประมาณการกำไรทั้งปีขึ้น โดยจะรอความชัดเจนหลังการประกาศผลประกอบการอีกครั้ง สำหรับคำแนะนำการลงทุน เราคาดว่าราคาหุ้นสะท้อนความกังวลถึงผลกระทบจากมาตรการภาษีไปมากแล้ว ขณะที่ในแง่ของผลประกอบการยังมีโอกาสฟื้นตัวได้จากการมีคำสั่งซื้อใหม่ ๆ ที่ยังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสมที่ 14.4 บาท
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ปรับคำแนะนำหุ้น ITC จาก "ขาย" เป็น "ซื้อ" และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 13.7 บาท เนื่องจากปัจจัยลบหลายประการเริ่มคลี่คลาย ขณะที่ปัจจัยบวกเริ่มชัดเจนมากขึ้น ทั้งในเชิงของกำไร ความสามารถในการควบคุมต้นทุน อีกทั้งระดับราคาหุ้นที่ถูกลงจนเริ่มมี Upside ชัดเจน
เราคาดกำไรหลัก ไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 737 ล้านบาท ลดลง 34% YoY แต่ฟื้นตัว 6% QoQ โดยปริมาณขายโต 15% YoY โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งดีกว่าที่เราคาดไว้ หนุนรายได้สกุลดอลลาร์สหรัฐ (USD) โต 13% YoY (แต่รายได้เงินบาทอาจติดลบเล็กน้อย 2% YoY จากผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน) ส่วน GM คาด 25% เพิ่มขึ้น QoQ จากปริมาณขายเพิ่ม ต้นทุนวัตถุดิบและ SG&A/sales ratio ลดลง สะท้อนการจัดการที่ดี
มองไปข้างหน้า แนวโน้มไตรมาส 3/68 เหมือนจะดูดีกว่าคาดเดิม โดยบริษัทมี Backlog สินค้าใหม่รอส่งมอบอีกราว 21 ล้าน USD (ประมาณ 7% ของยอดขาย H2/68) ที่เพิ่มเข้ามาจากยอดขายเดิมที่เติบโตอยู่แล้ว และต้นทุนปลาทูน่ายังลดลง QoQ ส่วนประเด็น FX คาดเทียบ YoY ผลกระทบจะน้อยกว่า ไตรมาส 2/68 ทำให้หนุนรายได้สกุลเงินบาทกลับมา ขณะที่ เห็น Upside จากอัตราภาษีเฉลี่ยปี 68 ถูกปรับลดเหลือ 5% (จาก 8%)
https://youtu.be/ymMiKOkcmf4