โบรกชี้จม."ทรัมป์"ขู่ภาษีกดดัน SET ให้แนวรับ 1,080-1,100 จุด จับตากลุ่มเนื้อสัตว์-นิคม-ดาต้าเซ็นเตอร์

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 8, 2025 07:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ระบุว่า สหรัฐส่งจดหมายเมื่อคืนนี้ไปยังหลายประเทศถึงอัตราภาษีการค้าที่จะมีผลตั้งแต่ 1 ส.ค. ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ได้อัตราภาษ๊ใกล้เคียงช่วงประกาศภาษีการค้าตอบโต้ และภาษีที่ประกาศอยู่ในระดับ 25-40% สูงกว่าเวียดนามที่ 20% วัตถุประสงค์หลักเชื่อว่าสหรัฐฯ ต้องการกดดันให้ประเทศต่างๆ ผ่อนคลายเพิ่มเติมต่อสินค้าสหรัฐฯ และสำหรับไทย อาจกดดันให้เปิดตลาดสินค้าเกษตร โดยเฉพาเนื้อหมู

อัตราภาษีของประเ?สต่างๆที่ประกาศมาเบื้องต้น ได้แก่ ญี่ปุ่น (25%), เกาหลีใต้ (25%), มาเลเซีย (25%), คาซัคสถาน (25%), แอฟริกาใต้ (30%), ลาว (40%), พม่า (40%), ตูนิเซีย (25%), บอสเนีย (30%), อินโดนีเซีย (32%), บังกลาเทศ (35%), เซอร์เบีย (35%), กัมพูชา (36%), ไทย (36%)

คาดการต่อรองภาษีการค้า จะเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศลงทุนในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้ ประเมิน SET เคลื่อนไหวมีแนวรับที่ 1,080-1,100 จุด โดยกลุ่มที่เผชิญแรงกดดันสูงได้แก่ เนื้อสัตว์, นิคมอุตสาหกรรม, และหุ้นที่เกี่ยวกับการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ (จากกรณีอาจควบคุมชิป AI)

บล.ยูโอบีฯ ระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยเผยแพร่การคาดการณ์ GDP ปี 68 ล่าสุดจะเติบโต 2.3% ภายใต้สมมติฐานว่าสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีไทยที่ 18% เราจึงอ้างอิงการคาดการณ์ GDP ก่อนหน้านี้ในเดือน เม.ย.68 ซึ่ง ธปท.ได้จัดทำ Scenario ว่าสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรที่ 36% จะทำให้ GDP ปีนี้เติบโต 1.3%

สำหรับภาคการธนาคาร เราได้คำนึงถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดว่าสหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรกับไทยที่ 36% ไว้แล้วในการคาดการณ์ของเรา จึงปรับลดคำแนะนำหุ้นกลุ่มธนาคารจาก "OVERWEIGHT" เป็น "MARKET WEIGHT" ในรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/68 เมื่อวันที่ 25 เม.ย.68 ปัจจุบัน เราคาดการณ์ว่ากำไรของกลุ่มธนาคารในปี 68 จะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ 8% แม้จะได้นำสถานการณ์นี้มาพิจารณาด้วย แต่คาดว่าจะมีการปรับลดกำไรลงบ้างจากสถานการณ์ล่าสุด คาดว่าราคาหุ้นกลุ่มธนาคารจะลดลงบ้างแต่ไม่มากนัก

คงน้ำหนักตลาดสำหรับกลุ่มธนาคาร โดยหุ้นที่เราเลือกเป็นอันดับแรกคือ KBANK

ขณะที่ บล.ยูโอบีฯ ให้มุมมองการลงทุนหุ้นภาคอุตสาหกรรม OVERWEIGHT จากผลกระทบจากอัตราภาษีใหม่ของทรัมป์ โดย ราคาหุ้นบริษัทนิคมอุตสาหกรรมของไทยลดลงเมื่อเช้าวานนี้ โดย AMATA ลดลง 10% และ WHA ลดลง 13% เพราะภาคอุตสาหกรรมอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากปัญหานี้ เนื่องจากลูกค้าอาจเลื่อนแผนการลงทุนออกไป ภาคอุตสาหกรรมมีที่ดินส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทยและเวียดนาม ซึ่งต้องเสียภาษีสูงถึง 36% และ 20% ตามลำดับ

เราเชื่อว่าลูกค้าชาวไทยในนิคมอุตสาหกรรมมีข้อจำกัดในแง่ของการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีเพียงบางภาคส่วนเท่านั้นที่มีการส่งออกโดยตรงไปยังสหรัฐฯ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และยางพารา บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อผลิตและส่งออกภายในประเทศ แทนที่จะเน้นการส่งออกไปยังสหรัฐฯ

เมื่อเปรียบเทียบเวียดนามกับไทย สัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงกว่าสำหรับเวียดนาม เราประเมินว่าอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในเวียดนามที่ต้องเสียภาษีสูงกว่าไทย การขายที่ดินและยอดขายค้างอาจชะลอตัวลง โดยบริษัทต่าง ๆ จะใช้แนวทางรอและดูเนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าและความเป็นไปได้ที่จะเกิดการขึ้นภาษีศุลกากร

ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (น้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน) โดยคาดว่าภาคส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทยจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษีนี้เนื่องจากมีรายได้สูงจากสหรัฐฯ โดย DELTA (26%) KCE (23%) HANA (13%) และ SVI (9%) อยู่ในภาวะเสี่ยง

ภาษีนี้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และยานยนต์เป็นหลัก HANA และ SVI ได้รับผลกระทบจากกลุ่มคอมพิวเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ ทรานซิสเตอร์ และโทรศัพท์ อย่างไรก็ตาม โรงงานของ SVI ในหลายประเทศช่วยกระจายความเสี่ยง ส่วน DELTA ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้ว่าจะน้อยกว่าคู่แข่ง เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของ DELTA พึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์และภาคส่วนยานยนต์น้อยกว่า และ KCE เผชิญกับผลกระทบอีกด้านจากอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมีความเสี่ยงจากภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ