นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า การที่สหรัฐประกาศคงอัตราเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยที่ 36% สถานการณ์ไม่ได้ผันผวนอย่างที่นักลงทุนหลายคนกังวลเหมือนที่ช่วงที่ประกาศอัตราภาษีหลายประเทศในครั้งก่อน อย่างไรก็ตาม จะกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงทั้งในแง่ของภาคการส่งออก, SME ในประเทศ และการลงทุนโดยตรงที่จะเข้ามาไทย ขณะเดียวกันก็ยังมีผลกระทบระยะยาวที่ตามมา เรื่องของความสามารถในการดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศไทย โดยเบื้องต้นยังประเมิน GDP ไทยปี 68 ที่ 2% โดยมีดาวน์ไซด์ 1.5% ซึ่งจะต้องรอข้อสรุปอัตราภาษีที่ไทยจะถูกเรียกเก็บและอัตราภาษีประเทศคู่แข่งการค้าของไทยด้วย อาทิ อินเดีย และจีน
"ต้นปีเราประเมิน GDP ปี 68 ที่ 3% โดยยังมีอัพไซด์ และปรับลงมาที่ 2% มีดาวน์ไซด์ ซึ่งปัจจุบันดาวน์ไซด์ตอนนี้ยังต้องรอผลการเจรจาทั้งหมด GDP อาจจะอยู่ที่ 1.5-2% เป็นเบื้องต้นไปก่อน"นายกอบศักดิ์ กล่าวทั้งนี้ หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศภาษีศุลกากรอัตราใหม่กับประเทศต่าง ๆ เมื่อคืนนี้ ตลาดทุนทั่วโลกไม่ได้สะเทือนเหมือนตอนที่ประกาศอัตราภาษีครั้งแรก โดยตลาดฟิวเจอร์สติดลบเล็กน้อย ขณะเดียวกันบางตลาดในเอเชียยังบวกได้เล็ก ๆ ทุกประเทศได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้รุนแรงอย่างที่เคยกังวล สะท้อนว่าตลาดรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปมากแล้ว
ประกอบกับก่อนหน้านี้สหรัฐผ่อนผันระยะเวลาจัดเก็บภาษีอัตราใหม่ 90 วัน ทำให้ผู้ประกอบการมีเวลาปรับตัวเรื่องสต็อกสินค้าและหาซัพพลายเออร์รายใหม่ นอกจากนี้สหรัฐได้ออกมาตรการอื่น ๆ เข้ามาประกอบ โดยเฉพาะ One Big Beautiful Bill ที่ช่วยลดผลกระทบต่อตลาดทุนและผลกระทบต่อภาคประชาชนให้บรรเทาลงบ้าง
"ผมอยากจะเตือนทุกคนว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบนี้จะไม่มีทางออกง่ายเหมือนรอบที่แล้ว ทางออกเดียวคือเราจะย้อนหลังกลับไปเจรจาไหม เพื่อให้ได้อัตราภาษีที่ดีขึ้นกว่านี้"นายกอบศักดิ์ กล่าวนายกอบศักดิ์ ประเมินทางเลือกของไทย 3 ทางเลือก ได้แก่ 1) ยอมรับสภาพที่ 36% 2) กลับไปเจรจาเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ประมาณ 25% ซึ่งทางเลือกนี้มองว่าภาคเอกชนจะสามารถรับได้และปรับตัวได้มากที่สุด และ3)ทางเลือกสุดท้าย เดินตามทางเวียดนาม ทำเต็มที่ให้ได้ 20%
ทั้งนี้ มองว่าอัตราภาษีที่ 10% คงเป็นไปได้ยากเนื่องจากเป็นอัตราที่สหรัฐให้กับประเทศที่เกินดุล 20% นอกจากนี้มองว่าจดหมายที่ประกาศออกมาเมื่อคืนเป็นการเตือนว่าการเจรจาก่อนหน้านี้ยังไม่เป็นที่พอใจ คำถามต่อมาคือไทยจะสามารถเสนอดีลได้อย่างที่สหรัฐฯ ต้องการหรือไม่
มุมมองของภาคเอกชนจากที่มีการพูดคุยมา ไม่ต้องการให้อัตราภาษีระหว่างไทยและประเทศคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญแตกต่างมากนัก ซึ่งอัตราภาษีระดับ 25% มีส่วนต่างจากเวียดนาม 5% ยังพอบริหารจัดการ ลดค่าใช้จ่าย ลดกำไรบางส่วนลง และทำงานให้หนักขึ้น เพื่อจัดการส่วนต่างภาษีระดับดังกล่าวได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าไทยจะมีข้อเสนออะไรให้กับสหรัฐบ้าง ซึ่งปัจจุบันสินค้าจากสหรัฐหลายชนิดไม่ได้มีการผลิตในไทยสามารถนำเข้ามาได้ เช่น ชิปอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่บางกลุ่มอาจต้องดูแลเป็นพิเศษ เช่นภาคเกษตร ซึ่งจะต้องมีการเยียวยาให้กลุ่มนี้ยังขับเคลื่อนไปได้
"เรามีความกังวลใจเยอะบางภาคที่อาจกระทบ แต่หัวใจสำคัญคือต้องทำให้เศรษฐกิจหมุนไปข้างหน้าได้ เราจะมีรายได้มาและสามารถเอามาเยียวยากลุ่มที่มีความเสียหาย เราอาจต้องคิดถึงกลยุทธ์นี้"โดยหากอัตราภาษีของไทยไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่ 36% เช่นเดิม จะกระทบทั้งภาคการส่งออกที่ต้องปรับตัว ภาค SME ในไทย ซึ่งต้องติดตามต่อว่าจีนจะถูกเรียกเก็บภาษีอัตราเท่าไร หากยังสูงทำให้จีนต้องกระจายสินค้ามายังตลาดอื่น ซึ่งทำให้ SME ไทยเกิดปัญหาได้ ขณะที่ยอดการขอ BOI ที่ก่อนหน้านี้บริษัทแจ้งจำนงอาจต้องพิจารณาหนักมากขึ้น หากมาตั้งฐานการผลิตที่เมืองไทย ส่งออกไปสหรัฐต้องจ่ายภาษี 36% ย้ายไปตั้งที่เวียดนามที่เสียภาษี 20% ดีกว่า ซึ่งจากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อไทยในระยะถัดไป
สำหรับผลกระทบต่อ SME ไทย หากสินค้าจากจีนไหลเข้าไทยในราคาที่ถูกกว่า โดยอยากเห็นมาตรการที่เคยใช้ในอดีต นั่นคือการที่ภาครัฐจัดซื้อจัดจ้าง ให้มีสัดส่วนสินค้า SME มากขึ้นจากเมื่อก่อนมีสัดส่วนสินค้า SME 30% แต่ปัจจุบันลดลงเรื่อย ๆ โดยมองว่าระดับ 50% ที่รัฐบาลจะซื้อของ SME ในประเทศ จะทำให้ SME ไม่ต้องสู้กับสินค้าจีน ขณะเดียวกันอยากให้ช่วยภาคการส่งออก จัดงบให้กับกระทรวงพาณิชย์เพื่อทำให้การค้าขายที่อินเดีย ตะวันออกกลาง อาเซียนและจีน เพิ่ม เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดทดแทนได้
แม้ตัวเลขการส่งออกจะขยายตัวต่อเนื่อง แต่เป็นการสะท้อนความตั้งใจของผู้ประกอบการสหรัฐที่พยายามสต็อกสินค้า โดยมองว่าครึ่งปีหลังการส่งออกจะไม่ดีเนื่องจากผู้ประกอบการสต็อกสินค้าไปหมดแล้ว จนถึงต้นปี 69 หลังจากนั้นผู้ประกอบการมีเวลาในการหาซัพพลายเออร์รายใหม่ที่มีกำแพงภาษีไม่สูง
ปัจจุบันไทยมีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 60-70% ของ GDP ซึ่งการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีสัดส่วน 18% ของการส่งออกทั้งหมด โดยหากถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% คาดสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะลดลงเหลือประมาณ 10% อย่างไรก็ตามมองว่าไทยต้องหาตลาดอื่นทดแทน อาทิ อินเดีย จีน ยุโรป และยังมีอีกหลายตลาดที่มีศักยภาพ ซึ่งมองว่าในเวลานี้ไทยควรเร่งหาตลาดใหม่ ควบคู่ไปกับการเจรจาการค้า รวมทั้งไทยควรต้องทำงานเรื่องพหุภาคีให้เข้มแข็งขึ้น เนื่องจากทรัมป์จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 3 ปีครึ่ง หลังจากนั้นทุกอย่างจะกลับไปเหมือนเดิม และไทยจะมีพหุภาคีที่เข้มแข็ง และจะเป็นทางออกให้กับทุกคน
"เราต้องเล่นเกมหลายหน้า ด้านหนึ่งก็เจรจาภาษีการค้า อีกด้านหนึ่งก็เตรียมการหาทางออกให้ตัวเอง ไปหาตลาดทดแทน ขณะเดียวกันก็ทำงานกับทุกคนทั่วโลกในการสร้างพหุภาคีให้แข็งแรง ผมว่ามันมีทางออกเยอะ อย่าพึ่งตื่นเต้น ถือว่าพายุมาก็แล้วกัน"ขณะเดียวภาคการท่องเที่ยวก็เป็นสิ่งที่น่ากังวล เนื่องจากตัวเลขนักท่องเที่ยวมาน้อยกว่าที่คาด ภาคการบริโภคในประเทศชะลอตัว ภาคอุตสาหกรรมไทยก็ค่อย ๆ ขยายตัวต่ำลง ทำให้ไร้ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ไปต่อได้ นอกจากนี้การเมืองในประเทศที่ยังมีปัญหาด้านเสถียรภาพส่งผลต่อการทำงานภาคราชการไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดีอย่างที่คิด อย่างไรก็ตามยอดการขอ BOI ยังเติบโตต่อเนื่อง หวังว่าอย่างน้อยจะเป็นสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยไปต่อได้
สำหรับตลาดทุนไทย ย้อนหลังกลับไป 2 ปี ตั้งแต่ปี 2566 ดัชนี SET ลงมาจาก 1,600 จุด เหลือ 1,100 จุด เป็นสัญญาณเตือนภัย เพราะสวนทางกับตลาดหุ้นโลกหลายตลาดที่ทำ All Time High ก่อนที่มีการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ อีกทั้งสินทรัพย์หลายตัวยังให้ผลตอบแทนได้ดี สะท้อนว่านี่เป็นปัญหาเฉพาะไทย รวมทั้งเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติยังไหลออกต่อเนื่อง
ในครึ่งปีแรกปีนี้ ต่างชาติขายสุทธิรวม 8 หมื่นล้านบาท จากปี 67 ที่ขายสุทธิ 1.5 แสนล้านบาท ถ้านักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิ Fund Flow จะไหลออกเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดพันธบัตรตั้งแต่ต้นปีต่างชาติซื้อสุทธิราว 3 หมื่นล้านบาท แต่ 2 เดือนสุดท้ายขายสุทธิรวม 34,819 ล้านบาท สะท้อนว่านักลงทุนกำลังออกจากตลาดทุนไทย
ประธาน FETCO แนะนำ 3 เรื่อง ได้แก่ อยากให้ทางการรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากหากเศรษฐกิจชะลอตัวลง และเริ่มไปต่อไม่ได้ การจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นอีกครั้งจะยากมาก และจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน กระทบต่อสภาพคล่องและแม้กระทั่งการปล่อยสินเชื่อต่าง ๆ และหลังจากนี้ต้องพยายามที่จะสื่อสารเอาข่าวดีออกมา ทำมาตรการที่ใช่ รักษาความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และสุดท้ายเรื่องการเมืองในประเทศ มองว่าความขัดแย้งมีได้แต่ขอให้ขัดแย้งในกรอบ เพราะถ้ารุนแรงลุกลามจะกลายเป็นปัญหาซ้ำเติมได้
รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยของไทยในระดับปัจจุบันที่ 1.75% มองว่ายังมีโอกาสให้ปรับลดลงได้ ถ้าลดให้เร็วดีกว่าลดช้า เนื่องจากมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและรักษาโมเมนตัมเศรษฐกิจให้ยังพอไปต่อได้ เพื่อให้สามารองรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในขณะนี้
นอกจากนี้ มองว่าช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์จะคับขันมากขึ้นเรื่อย ๆ หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เห็นว่ามาตรการภาษีที่ประกาศออกมาไม่ได้กระทบต่อตลาดทุนมาก อาจจะมีมาตรการภาษีออกมาเพิ่มเติมอีก เช่น มาตรการภาษีรายอุตสาหกรรม หรือรายประเทศ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ก่อนหน้านี้ทรัมป์ ประกาศจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมในอัตรา 10% ต่อประเทศที่ดำเนินนโยบายสอดคล้องกับกลุ่ม BRICS อย่างไรก็ตามหากมีการเรียกเก็บภาษีจากประเด็นดังกล่าว คาดว่าประเทศอื่นที่อาจจะถูกเก็บมากกว่า เนื่องจากไทยเข้าไปในลักษณะเป็นพาร์ทเนอร์ เรียนรู้สังเกตการณ์มากกว่า