JITTA มองตลาดยังผันผวน แนะจัดพอร์ตแบบ Core&Satellite กระจายความเสี่ยง ชูหุ้นจีนน่าลงทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 17, 2025 15:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ (JITTA) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว และ Sentiment ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเริ่มกลับมา อย่างไรก็ตามในระยะถัดไปตลาดยังมีความผันผวนแนะกลยุทธ์จัดพอร์ตแบบ Core & Satellite กระจายความเสี่ยง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันอยู่ในโซนที่ราคาถูก แต่ยังขาดปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตแนะเลือกลงทุนหุ้นไทยรายตัวที่ยังมีการเติบโต และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ชูหุ้นจีนราคาถูกมากแล้ว มีความน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

ในช่วงครึ่งปีแรกหลังเหตุการณ์ Liberation Day ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปรับตัวลงกว่า 20% เนื่องจากตลาดกังวลปัจจัยที่ไม่แน่นอน และค่อย ๆ ฟื้นตัวทำ All Time High ได้ ซึ่งเป็นการสะท้อนภาพที่ตลาดหุ้นน่าจะผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว ทำให้ตอนนี้นักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นมากขึ้น โดยมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯ ได้ประโยชน์มากที่สุดในระยะสั้นจากการจัดเก็บรายได้จากภาษีได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังมีความกังวลเงินเฟ้อในระยะถัดไป ซึ่งเริ่มเห็นว่าสินค้าบางรายการในสหรัฐราคาสูงขึ้นแล้ว นอกจากนี้สิ่งที่นักลงทุนกังวลคือร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill" ที่จะทำให้สหรัฐฯ มีหนี้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้มองว่าสหรัฐฯ ยังคงมีการเติบโตจากเทคโนโลยี AI และ Semiconductor แต่หากการเติบโตเริ่มลดลง หนี้สาธารณะกลับมากดดันการเติบโตของสหรัฐ ขณะเดียวกันประเด็นมาตรการภาษีการค้ายังไม่ได้ข้อสรุป แม้ผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว แต่ยังต้องติดตามข้อสรุปอัตราภาษีของแต่ละประเทศ และแต่ประเทศจะต้องมีการปรับตัวอย่างไร

"หากย้อนประวัติศาสตร์เงินเฟ้อในสหรัฐฯ หลังเหตุการณ์สำคัญ เงินเฟ้อจะพุ่งแรงอย่างเห็นได้ชัด เช่นในปี 2489 ที่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปถึง 18.1% แต่ในทางกลับกัน ไม่ว่าจะผ่านมากี่วิกฤติตลาดหุ้นก็สามารถปรับตัวกลับขึ้นมาได้ โดยดัชนี S&P500 สร้างผลตอบแทนได้ถึง 326.65% (31 ธ.ค.42 - 14 ก.ค.68) สะท้อนได้ว่าในทุกวิกฤติมีโอกาสเสมอ ดังนั้นนักลงทุนต้องทำการบ้านหนักขึ้นเพื่อให้เป็น "นักเลือก" ค้นหาหุ้นที่ดีในราคาเหมาะสม ทนทานต่อความผันผวนในระยะยาวให้เจอให้ได้"

*หุ้นไทยราคาถูก แต่สัญญาณฟื้นตัวยังไม่ชัดเจน

สำหรับตลาดหุ้นไทยมองว่าปัจจุบันอยู่ในโซนที่ราคาถูก เทียบเท่ากับตลาดหุ้นจีน แต่สัญญาณจุดฟื้นตัวยังไม่ชัดเจน ทั้งในแง่ของการเติบโตของเศรษฐกิจ และความสามารถของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งความเสี่ยงจากเสถียรภาพการเมืองในประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ทำให้เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติจะยังไม่ไหลเข้า ตอนนี้ที่มีเม็ดเงินไหลเข้าเพราะหุ้นราคาถูก แต่พอถึงจุดที่ตลาดปรับตัวขึ้นอัพไซด์จะจำกัด เพราะขาดปัจจัยขับเคลื่อนดัชนี โดยกลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทยแนะเลือกหุ้นรายตัว ที่ราคาไม่แพง ยังมีการเติบโต จ่ายปันผลดีและสม่ำเสมอ

"ทุกวันนี้นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนหุ้นไทยแล้ว สะท้อนจากอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บไทยสูงกว่าประเทศอื่น แต่หุ้นไม่ได้ปรับตัวลงมากแล้ว เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังเงินปันผลและมีหุ้นที่ราคาถูกมากกว่าราคาแพง ทำให้ปัจจุบันน่าลงทุน แต่ถ้าลงทุนตลาดหุ้นไทยโดยรวม ไม่ได้ให้ผลตอบแทนมาก ไปลงทุนตลาดหุ้นจีนดีกว่า"
*มองหุ้นจีนน่าลงทุน

โดยตลาดหุ้นจีนอยู่ในโซนราคาถูก ปัจจุบันมองว่าเป็นโอกาสในการลงทุนที่ดี ซึ่งหากเทียบกับตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นจีนน่าจะเติบโตดีกว่าในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว นอกจากนี้จีนยังมีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกมาก แต่ยังรอประเมินสถานการณ์จากมาตรการต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ก่อน ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ประชากรจีนมักลงทุนไปกับอสังหาริมทรัพย์ฯ ซึ่งปัจจุบันภาคอสังหาฯ อาจจะโตไม่มากทำให้แนวโน้มการลงทุนต้องกลับมาที่หุ้น

นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า เมื่อภาพการลงทุนกำลังเปลี่ยนไปตามบริบทใหม่ของโลก นักลงทุนจำเป็นต้องมีหลักคิดในการลงทุนที่ถูกต้องเพื่อให้พร้อมเผชิญกับความไม่แน่นอนในอนาคต ซึ่งการกระจายความเสี่ยง (Diversification) ให้พอร์ตคือกุญแจสำคัญ รวมถึงการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite ที่มีการแบ่งสัดส่วนของ Core Port หรือพอร์ตหลักให้มีสินทรัพย์ที่กระจายความเสี่ยงอย่างครอบคลุม และสร้างความมั่นคงให้พอร์ต ควบคู่ไปกับ Satellite Port หรือพอร์ตรอง เสริมการลงทุนแบบมุ่งเน้นผลตอบแทน ในประเทศหรือธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ซึ่งสัดส่วนของทั้ง 2 พอร์ต อาจจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงของนักลงทุนเอง แต่สัดส่วนที่ปลอดภัยที่ Jitta Wealth แนะนำจะอยู่ที่ 80:20

ทั้งนี้สูตรการลงทุนที่ Jitta Wealth แนะนำคือการจัด Core Port ด้วย Global ETF แผนการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงในหุ้นและตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก และจัด Satellite Port ด้วย Jitta Ranking Alpha นโยบายการลงทุนที่มี Alpha AI อัลกอริทึมวิเคราะห์ประเทศของ Jitta Wealth คัดเลือก ตลาดหุ้นที่ดี ในเวลาที่เหมาะสม

การจัดพอร์ตแบบนี้ที่สัดส่วน 80:20 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถนำพาพอร์ตให้ผ่านพ้นวิกฤติ Trump Tarriffs ได้ โดยในวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่สหรัฐฯ มีการประกาศ Liberation Day ผลตอบแทนของพอร์ตติดลบเพียง 5.27% จากต้นปี ถือว่าน้อยมากเทียบกับสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกที่ร่วงรุนแรงในช่วงแวลาเดียวกัน และล่าสุดเมื่อตลาดเริ่มนิ่ง (14 ก.ค.68) ผลตอบแทนก็กลับมา +3.49% พิสูจน์ได้ว่าการจัดพอร์ตด้วยหลักการนี้สามารถฝ่าวิกฤติความผันผวนได้จริง

"การกระจายความเสี่ยงและการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite โดยมี Global ETF เป็น Core Port สามารถฝ่าวิกฤติได้จริง ด้วยผลตอบแทนที่ดีและความเสี่ยงต่ำ เหมาะที่นักลงทุนจะใช้เป็นพอร์ตหลักได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล และการมีพอร์ตหลักที่มั่นคง จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนด้วยการเลือกลงทุนในตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในอนาคตใน Satellite Port ได้ด้วย"

นายตราวุทธิ์ ยังกล่าวว่า ตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโตเวลานี้ นักลงทุนอาจจะให้ความสนใจในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ยังคงทำสถิติ All Time High ได้เสมอ แต่สหรัฐฯ เองก็ยังมีประเด็นที่ต้องติดตาม ทั้งปัญหาภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงความต้องการพันธบัตรสหรัฐฯ เริ่มลดน้อยลง ขณะที่ประเทศคู่แข่งอย่างจีนในเวลานี้ถือว่ายังมีความแข็งแกร่ง มีจุดยืนที่มั่นคงในเวทีโลกเห็นได้จากการตอบโต้ภาษีสหรัฐฯ แม้ในภาพรวมของภาคประชาชนจะแสดงให้เห็นถึงการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น แต่เศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง GDP เติบโตอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5.5% (64-67) ซึ่ง สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเกือบ 2%

อย่างไรก็ตาม หากถาม AI ถึงประเทศที่น่าลงทุนในเวลานี้ ด้วย Jitta Market Prediction ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ในแบบ AI Predictive Analytics ที่มีการนำฐานข้อมูลการลงทุนมาวิเคราะห์ในทุกมิติ เพื่อเฟ้นหาตลาดที่น่าลงทุน และมีศักยภาพที่จะสร้างผลกำไรดีที่สุดในอนาคต โดยข้อมูลล่าสุด (11 ก.ค.) AI พบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีอัตราส่วนหุ้นถูกต่อหุ้นแพงลดลงมาอยู่ที่ 0.61 เท่า จากสิ้นปีก่อนที่มี 0.72 เท่า สะท้อนว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เวลานี้อาจจะแพงไปแล้ว เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นจีนที่มีอัตราส่วนหุ้นถูกต่อหุ้นแพงเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15.6 เท่าจากสิ้นปีก่อนที่มีเพียง 9 เท่า

"เวลานี้ระบบเศรษฐกิจโลกถูกขับเคลื่อนไปตามการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน ในอีก 10 ปีข้างหน้า ยังไม่มีใครตอบได้ว่าสหรัฐฯ หรือจีน ใครจะขึ้นเบอร์หนึ่งของโลก แต่ที่แน่ ๆ เราก็จะเห็นการเติบโตของทั้ง 2 ประเทศนี้ต่อไป

สำหรับผลตอบแทนการลงทุนในนโยบายต่าง ๆ ของ Jitta Wealth ตั้งแต่ต้นปีมาถึงปัจจุบัน (14 ก.ค.68) นั้น นโยบายที่เกี่ยวกับหุ้นจีนสามารถสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่น เช่น Jitta Ranking หุ้นฮ่องกง สามารถสร้างผลตอบแทน (YTD) +19.64% และหากดูเป็นธีมการลงทุน พบว่า ธีมบริการสุขภาพจีน +29.34% ธีมพลังงานสะอาดจีน +26.19% ธีมตลาดหุ้นจีน +23.16% ธีมหุ้นฮ่องกง +22.50% ธีมเทคโนโลยีจีน +19.26% ส่วนJitta Ranking หุ้นจีน +4.77% และ Jitta Ranking Alpha +4.15%

"AI ของ Jitta Wealth ชี้ให้เห็นโอกาสในตลาดหุ้นจีนมาโดยตลอด และเวลานี้ยิ่งตอกย้ำความแม่นยำได้จากผลตอบแทนที่ชัดเจน ซึ่งตลาดหุ้นฮ่องกงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนำไปก่อนเพราะเป็นตลาดที่เงินทุนไหลเข้าออกง่าย แต่หากมองโครงสร้างในระยะยาวแล้วในอนาคตเชื่อว่าจะเห็นการโยกเม็ดเงินไหลกลับเข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่แน่นอน"

สำหรับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) ของบริษัทฯ อยู่ที่ราว 1.5 หมื่นล้านบาท โดยภาพรวมผลตอบแทนยังเป็นบวก แต่ช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนักลงทุนไม่กล้าลงทุน เนื่องจากสภาวะตลาดที่มีความผันผวน ซึ่งสอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรมที่เม็ดเงินลงทุนยังทรงตัว อย่างไรก็ตามบลจ.จิตตะ เวลธ์ ตั้งเป้าหมายพยายามให้นักลงทุนจัด Core Port ให้ถูกต้องมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อสร้างความมั่งคั่งระยะยาวและผ่านความผันผวนต่าง ๆ ไปได้ นอกจากนี้ยังตั้งเป้าที่จะลดเงินลงทุนขั้นต่ำจาก 10,000 บาท เหลือเพียง 1,000 บาท เพื่อเปิดโอกาสให้คนเข้าถึงการลงทุนได้มากขึ้น โดยหวังว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ