LHFG มั่นใจสินเชื่อปี 68 โต 7-8% ชี้ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจฟื้น ดันลูกค้าธุรกิจลงทุนคึกคัก

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 24, 2025 18:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

LHFG มั่นใจสินเชื่อปี 68 โต 7-8% ชี้ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจฟื้น ดันลูกค้าธุรกิจลงทุนคึกคัก

นายฉี ชิง-ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในกลุ่มบมจ.แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป [LHFG] กล่าวว่า ธนาคารยังคงเป้าสินเชื่อปี 68 เติบโต 7-8% แม้ว่าในครึ่งปีแรกสินเชื่อรวมของธนาคารจะเติบโต 3-4% แต่ธนาคารยังมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้ หากมีความชัดเจนของการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐออกมาอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเห็นกลุ่มลูกค้าธุรกิจกลับมาเริ่มลงทุน และเบิกใช้สินเชื่อมากขึ้น หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกแม้ว่าสินเชื่อธุรกิจของธนาคารจะเติบโตได้ 1.8% แต่ก็ยังมองว่าเป็นการโตที่ชะลอตัวลง จากการที่ลูกค้าธุรกิจยังมีความไม่มั่นใจในสถานการณ์สงครามการค้าและทิศทางเศรษฐกิจโลก

ขณะเดียวกันหากมีความแน่นอนในส่วนของการเจรจาการค้ากับสหรัฐออกมาแล้ว จะหนุนต่อสินเชื่อของกลุ่มลูกค้าต่างประเทศผ่านสินเชื่อธุรกิจต่างประเทศ (Trade Finance) ที่จะกลับมาขยายตัวได้มากขึ้น โดยที่ธนาคารได้ประโยชน์จากเครือข่ายของ CTBC ไต้หวัน ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ในการสนับสนุนให้สินเชื่อกลุ่มลูกค้าต่างประเทศผ่านสินเชื่อธุรกิจต่างประเทศ และบริการด้านการแลกเปลี่ยนเงินตรา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่จะกลับมาใช้บริการมากขึ้น

นอกจากนี้ธนาคารยังคงเน้นในการรุกสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยที่เป็นสินเชื่อส่วนบุคคล เพื่อทำให้ธนาคารมีความสามารถในการทำกำไรได้มากขึ้น โดยธนาคารเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี AI และแอปพลิเคชัน เพื่อยกระดับความเป็นเลิศในการให้บริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งธนาคารยังเร่งขยายบริการบริหารความมั่งคั่งผ่านโครงการ "Family Banking" โดยมอบสิทธิพิเศษสำหรับกลุ่มลูกค้า Wealth และพร้อมตอบสนองทุกความต้องการของคนรุ่นถัดไป

รวมถึงการที่ยังคงเน้นการขยายฐานลูกค้าเอสเอ็มอีต่อเนื่อง ซึ่งธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ซึ่งถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ ทำให้ธนาคารมองเห็นถึงโอกาสในการเข้าไปสนับสนุนกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ให้สามารถมีศักยภาพมากขึ้นในการทำธุรกิจ ผ่าน Product Program ควบคู่กับการให้บริการ Corporate E-Banking/ Mobile Banking "LHB Biz Connect" ที่รองรับการชำระเงินและธุรกรรมการค้าต่างประเทศ (Trade Finance) ทั้งสกุลเงินบาทและสกุลเงินต่างประเทศ

สำหรับสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารในปี 68 วางแผนควบคุมให้ไม่เกิน 3% จากครึ่งแรกอยู่ 2.2-2.5% ซึ่งธนาคารมองว่าในครึ่งปีหลังยังคงมีความไม่แน่นอนในการที่ NPL อาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ แต่คาดว่าจะไม่เกิน 3% ซึ่งในส่วนของการตั้งสำรองฯแม้ว่าในครึ่งปีแรกธนาคารได้ตั้งสำรองฯไปมากแล้วก็ตาม แต่หาก NPL ในครึ่งปีหลังเพิ่มขึ้น ก็อาจจะมีการตั้งสำรองฯเพิ่มขึ้นตามได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามการตั้งสำรองฯของธนาคารในปัจจุบันถือว่าเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงได้

ส่วนเงินทุนของธนาคารในการรองรับการดำเนินธุรกิจต่างๆของธนาคารมองว่ายังสามารถรองรับการดำเนินธุรกิจได้อีก 2 ปี ซึ่งปัจจุบันธนาคารอยู่ระหว่างการเริ่มพิจารณาแนวทางต่างๆในการที่จะมีทุนเพิ่มเข้ามา หลังจากผ่าน 2 ปีนี้ไปแล้ว เพื่อรองรับการขยายการดำเนินงานของธุรกิจของธนาคารในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งได้มีการพูดคุยกันระหว่าง 3 กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แก่ CTBC Bank, บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ [LH] และบมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ [QH] เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการเพิ่มทุนในอีก 2 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของธนาคาร

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund) กล่าวว่า บริษัทยังคงขับเคลื่อนกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 68 โดยปรับบทบาทของทีมงานให้สามารถบริหารผลิตภัณฑ์การลงทุนทุกประเภทได้อย่างคล่องตัวและครอบคลุมยิ่งขึ้น และปรับแนวทางการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM)

โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวกับกลุ่มลูกค้า High Net Worth สถาบัน และองค์กร ด้วยการนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้านอกเหนือจากการลงทุน สำหรับกลุ่มลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล บริษัทได้พัฒนาโซลูชันการลงทุนและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเร่งขยายธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยเจาะกลุ่มบริษัทที่ยังไม่มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า ปัจจุบัน Valuation หุ้นไทยหลายตัวถือว่าถูกมาก และความเสี่ยงด้านลบ (Downside Risk) ลดลงต่ำกว่าช่วงก่อนหน้า แต่ในครึ่งปีหลังยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยกดดันทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น ความกังวลเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองภาวะเศรษฐกิจ มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ โดยที่มองเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 68 อยู่ที่ 1,280 จุด

สำหรับกลยุทธ์ของบริษัทยังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างระมัดระวัง เน้นสร้าง Passive Income เช่น รายได้เงินปันผล รายได้ค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และที่ปรึกษาทางการเงิน รวมทั้งเพิ่มและพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น การให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ การพัฒนาระบบเทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าเดิมด้วยบริการที่สะดวกรวดเร็วและปลอดภัย พร้อมบริหารต้นทุนอย่างเหมาะสม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ