SCC ปรับลง 4.35% มาที่ 198.00 บาท ลดลง 9.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 699.64 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.37 น. จากราคาเปิด 201 บาท ราคาสูงสุด 202 บาท ราคาต่ำสุด 198 บาท
บล.เคจีไอ (ประเทสไทย) ระบุว่า กำไรหลักของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย [SCC] ในไตรมาส 2/68 ที่ 2.1 พันล้านบาท (-42% YoY แต่ +97% QoQ) ต่ำกว่าเราและตลาดคาด 2% และ 17% ตามลำดับ แต่เราคาดว่าตลาดจะมองข้ามผลประกอบการนี้และไปเน้นพื้นฐานที่กำลังดีขึ้น ส่วนการที่กำไรพุ่งขึ้น QoQ เป็นผลจากเงินปันผลรับจาก Toyota และ Kubota (โดยปกติจะได้รับใน 2Q และ 4Q), ธุรกิจเคมีภัณฑ์กับบรรจุภัณฑ์แข็งแกร่งขึ้น และประสิทธิภาพด้านต้นทุน
ขณะที่ราคาหุ้น SCC ที่พุ่งขึ้นมา 23% YTD โดยเทรดที่ค่าเฉลี่ย 5 ปีในอดีตของ EV/EBITDA และ P/BV ระดับ +2SD และ -1.5SD
เคจีไอฯ ระบุว่า อยู่ระหว่างการทบทวนคำแนะนำหุ้น SCC โดยเชื่อว่าราคาหุ้นจะยังคง outperform ต่อเนื่อง จาก: i) ตลาดมีการปรับเพิ่มกำไรจากการติดตามความคืบหน้าของข้อตกลงทางการค้ามีแนวโน้มดีและ sentiment บวกของนักลงทุน; และ ii) โอกาสที่โรงงานปิโตรเคมี LSP ของ SCC จะกลับมาดำเนินการได้ ซึ่งส่งสัญญาณว่าวัฏจักรขาลงจบแล้ว
ขณะที่กำไรสุทธิ Q2/68 ที่ 1.73 หมื่นล้านบาท (พุ่งขึ้นจาก 1.1 พันล้านบาทใน Q1/68 และ 3.7 พันล้านบาทใน Q2/67) เกิดจากกำไรจากการซื้อในราคาต่อรองจำนวน 1.67 หมื่นล้านบาทจากการลงทุนของ CAP ใน Aster Chemicals and Energy Pte. Ltd. (Aster) พร้อมกับการปรับมูลค่ายุติธรรมของการลงทุนที่ถือหุ้น 30.57% ใน PT Chandra Asri Pacific Tbk (CAP) ไปเป็นเงินลงทุนอื่น (จากเดิมเป็นเงินลงทุนในบริษัทร่วม) และ คชจ.การปรับโครงสร้าง 1.5 พันล้านบาทในทุกกล่มธุรกิจ ขณะที่กำไรหลัก H1/68 ที่ 3.266 พันล้านบาท (-47% YoY) คิดเป็น 40% ของกำไรที่ตลาดคาด
โดยกลุ่มธุรกิจเคมี (ไม่รวมขาดทุนจาก Long Son Petrochemicals (LSP)) มีปริมาณการขายที่แข็งแกร่งขึ้นและ spread ดีขึ้นด้วย ท่ามกลางอุปทานใหม่ที่เพิ่มมาต่ำกว่าคาด ขณะที่ HDPE spread อยู่ที่ US$363/ton (+13% QoQ แต่ -0.3% YoY) และ PP spread อยู่ที่ US$352/ton (+8% QoQ และ +3% YoY).
การที่โรงงานปิโตรเคมี LSP กลับมาดำเนินงานชี้ว่าตลาดปิโตรเคมีฟื้นตัว โดย SCC วางแผนที่จะเริ่มกลับดำเนินการโรงงานปิโตรเคมี LSP ภายในสิ้น ส.ค.68 นี้ โดยจะได้ประโยชน์จากภาษีนำเข้า 2% ใหม่ (จาก 0%) ของเวียดนามสำหรับผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีนบางชนิด ซึ่งมีผลมาตั้งแต่ 8 ก.ค.68 แล้ว กรณีนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกว่าวัฏจักรขาลงของปิโตรเคมีอาจถึงจุดต่ำสุดแล้ว หนุนจาก spread ของ PP ดีขึ้น (อย่างน้อย US$400/ton) นอกจากนี้ เงินจากการขายหุ้น CAP บางส่วน (ลดจาก 30.57% เหลือ 20%) อาจช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA จาก 5.5x ลงเหลือ 3x
ส่วนกำไรจากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปูนซีเมนต์ลดลง QoQ จากการปรับโครงสร้างต้นทุนและเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยจะสูงขึ้นและกลยุทธ์ที่เน้นการเจาะตลาดปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ (สินค้าพรีเมียม) สูงขึ้น
ด้านผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ดีกว่าทุกคาดการณ์ จาก GPM ดีขึ้นแข็งแกร่งกว่าคาด การเพิ่มขึ้น QoQ หนุนจาก; i) ผลงานของ Fajar ดีขึ้นมาก, ประสิทธิภาพด้านต้นทุน (ต้นทุนถ่านหินลดลง) ที่น่าน่าสังเกตคือ EBITDA ของ Fajar เพิ่มขึ้น QoQ เป็นบวกเป็นครั้งแรกในรอบสองปี และขาดทุนสุทธิก็ลดลง QoQ อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุนี้ เราจึงคงยืนยันคำแนะนำ "ซื้อ" SCGP (ราคาเป้าหมายปี 69 ที่ 22.00 บาท)
นอกจากนี้ SCC จะจ่ายเงินปันผล H1/68 ที่ 2.50 บาท/หุ้น (XD: 13 ส.ค.) คิดเป็น yield ราว 1.2%
ขณะที่ บล.ทิสโก้ มองว่า SCC อาจเผชิญกับความท้าทายมากขึ้นใน 3Q25F มาร์จิ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์โดยรวมมีแนวโน้มลดลง QoQ และผลประโยชน์จากต้นทุนแนฟทาที่ลดลงน่าจะลดลง แม้ว่าราคาปูนซีเมนต์ในประเทศในกลุ่ม CBM อาจยังคงเพิ่มขึ้น แต่ความต้องการอาจได้รับผลกระทบจากฤดูฝนตามฤดูกาล
ที่สำคัญกว่านั้น SCC วางแผนที่จะกลับมาดำเนินงานที่ LSP ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม แม้ว่าในเบื้องต้นอาจถือเป็นสัญญาณเชิงบวกจากตลาด แต่เราเชื่อว่ามีความเสี่ยงที่ผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ในระดับมาร์จิ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อส่วนต่างราคา HDPE-แนฟทาต่ำกว่า 350 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน การบรรลุจุดคุ้มทุนยังคงเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับ LSP ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีปัจจัยกดดันจากต้นทุนการเริ่มต้นที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งคาดการณ์ไว้ที่ 300 ล้านบาท