นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย [SCC] หรือเอสซีจี ยืนยันเป้าหมายยอดขายปี 68 เติบโต 3-5% แม้ครึ่งปีหลังยังเผชิญความท้าทายจาก "ภาษีทรัมป์" และค่าธรรมเนียมขนส่ง Transshipment ที่ต้องแบกรับ พร้อมประกาศคงแผนงานเดิม แต่จะมุ่งมั่นเดินหน้าเต็มที่ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ: ลดต้นทุน, ปรับโครงสร้างธุรกิจ และขยายพอร์ตสินค้ามูลค่าสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (HVA-Green Products) สู่ตลาดศักยภาพทั่วโลก นอกจากนี้ SCC เตรียมกลับมาเดินเครื่องโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) เวียดนามปลายเดือนสิงหาคมนี้ และมีแนวโน้มเห็นความชัดเจนในการนำ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ [SCGC] เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2571
ผลประกอบการของ SCC ในครึ่งปีแรก มีรายได้ 249,077 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจจะมีกำไรอยู่ที่ 3,266 ล้านบาท ลดลงจากครึ่งแรกของปี 67 ที่ทำไปได้ 6,133 ล้านบาท ส่วน EBITDA อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าครึ่งปีหลังปี 67 ราว 21%
ทั้งนี้ SCC มั่นใจว่าทั้งปี 68 EBITDA จะดีกว่าปีก่อนที่ทำไปได้ 54,000 ล้านบาท หนุนด้วยกลยุทธ์ปรับพอร์ตลงทุน หยุดธุรกิจไม่ทำกำไร และบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกธุรกิจ รวมถึงหาโอกาสเข้าซื้อกิจการใหม่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของ SCC ที่ทำมาอยู่ตลอด โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาและพร้อมลงทุนทันทีถ้าข้อสรุปออกมาดี
สำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไรนั้น บริษัทฯ ได้พิจารณาถึงมาตรการต่าง ๆ ที่ควรจะทำ ทั้งยุติกิจการชั่วคราว ยุติถาวร หรือขายออกไป โดยระหว่างนี้มีการพูดคุยถึงสินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจซีเมนต์บางตัว
ขณะที่โครงการสำคัญ คือ โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) เตรียมกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้งปลายเดือนสิงหาคม 2568 แม้จะมีการพิจารณาปิดเป็นช่วงๆ หากไม่คุ้มทุน แต่เชื่อว่าการเดินหน้าทดลองทำย่อมดีกว่าการปล่อยให้โรงงานหยุดนิ่ง ขณะที่โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP ยังคืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570 และเมื่อโครงการนี้เสร็จสมบูรณ์ อาจจะพิจารณาผลักดัน SCGC เข้าตลาดหลักทรัพย์ SET
นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า โรงงาน LSP เป็นส่วนหนึ่งของแผนเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อรองรับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานที่ผันผวน SCC จะใช้จุดแข็งจากการมีฐานการผลิตที่หลากหลายในอาเซียน (Regional Optimization) ในการโยกย้ายฐานผลิตและส่งออกในภูมิภาคได้อย่างยืดหยุ่น เช่น การใช้ฐานการผลิตในเวียดนามที่ได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ได้เปรียบ 20% และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ อีกทั้งยังเป็นฐานการบริโภคที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
ส่วนธุรกิจซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ก็จะขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ที่มีกำลังการผลิตสูงสุด 8,000 ตันต่อวันรองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย
ส่วนฝั่ง บมจ. เอสซีจี เดคคอร์ [SCGD] เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนที่เวียดนาม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง อีกทั้งบริหารต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ และฝั่งธุรกิจบรรจุภัณฑ์ หรือ [SCGP] ก็ได้เดินหน้าเสริมแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในเวียดนาม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ จนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพื่อกระจายตัวออกสหรัฐฯ ด้วย เช่น
ทวีปแอฟริกา: มีการขยายตลาด "ปูนเม็ด" (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ไปยังประเทศโกตติวัวร์ และกานา
ทวีปเอเชีย: มีการขยายตลาด "3D Printing Solution" เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย
ทวีปโอเชียเนีย: มีการขยายตลาด "หลังคาและฝาฝ้า" ที่พัฒนาคุณสมบัติให้เหมาะกับลูกค้าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และขยายตลาด "ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 1 และ 2" ไปออสเตรเลีย รวมทั้งเตรียมออก "ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 3" สู่ตลาดเป็นรายแรก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างทำ Pilot Project กับกว่า 15 โครงการ ของเอสซีจี ซีเมนต์ แอนด์ กรีนโซลูชันส์
ทวีปยุโรป: มีการขยายตลาด "กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน" ไปสาธารณรัฐเช็ก ของ SCGD และการปรับกระบวนการผลิต "บรรจุภัณฑ์อาหาร" เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนของ SCGP
SCC จะมุ่งลดต้นทุนเพื่อให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ ตั้งแต่การลดต้นทุนบริหารจัดการ จากการรวมศูนย์การผลิตของโรงงานที่มีความซ้ำซ้อน และการใช้หุ่นยนต์บรรจุปูนซีเมนต์และลำเลียงไปยังคลังสินค้า และใช้ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (AS/RS Warehouse System) ช่วยจัดสินค้าไปยังรถขนส่ง และร่วมกับพาร์ทเนอร์ พัฒนารถบรรทุกไฟฟ้าขนส่งในเหมือง (EV Mining Truck) แบบไร้คนขับเป็นรายแรกในไทย
ด้านเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ได้ใช้ระบบอัตโนมัติผลิตกระเบื้องและครอบหลังคา และแผ่นฝ้าผนังสมาร์ทบอร์ด ทำให้ได้สินค้าคุณภาพมาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายจากของเสียในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนบริหารจัดการ และเริ่มใช้ AI ช่วยลดขั้นตอนออกแบบ-พัฒนาสินค้าใหม่
ด้านทาง SCGD ก็ใช้ระบบอัตโนมัติเคลื่อนย้ายชิ้นงานกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในกระบวนการผลิตและบรรจุ รวมทั้งใช้ AI ช่วยออกแบบสินค้า จำลองกระบวนการก่อนผลิตจริง ตรวจสอบคุณภาพ รวมถึงบริหารคลังสินค้า และ เอสซีจีซี ใช้หุ่นยนต์บริหารจัดการโรงงาน อาทิ โรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรมที่ผลิตท่อและข้อต่อ PVC รวมถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC มีสัดส่วนการใช้หุ่นยนต์ (Robot Density) เทียบเท่าระดับ Best in Class ของโลก และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อลดระยะเวลาในการพัฒนาพอลิเมอร์
ในครึ่งปีแรก SCC ได้บริหารต้นทุนวัตถุดิบและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้ ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าได้รวม 912 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงานให้เดินเต็มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนได้ 616 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลง 6,989 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต ช่วยลดต้นทุนในแต่ละธุรกิจได้อีกด้วย
นายธรรมศักดิ์ กล่าวอีกว่า SCC ยังคงเดินหน้าปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ เช่น ใน PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) อินโดนีเซีย, บางธุรกิจในยุโรปของ SCGC และบางธุรกิจในอินโดนีเซียของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 1,200 ล้านบาทต่อปี
กลยุทธ์สำคัญสำหรับครึ่งปีหลัง 2568 คือการเร่งขยาย "สินค้า Smart Value - HVA - Green" สู่ตลาดเติบโตสูง:
สินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products - SVP): ตอบสนองกำลังซื้อในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เช่น "ปูน ADAMAX" ในเวียดนาม "ปูน 5 Star" ในกัมพูชา "ปูน Bezt" ในอินโดนีเซีย
สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products - HVA) และโซลูชัน: เช่น "CHILLOX" โซลูชันประหยัดพลังงานสำหรับคลังสินค้าห้องเย็น, "DRS" (Digital Reliability Service Solutions) บริการดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรม, "ฝาปิดท่อคอนกรีตกำลังอัดสูง" สำหรับสายไฟใต้ดิน, "ปูนจับเซี้ยมสำเร็จรูป", "ONNEX ArcBox" นวัตกรรมป้องกันไฟไหม้แผงโซลาร์, "ผนังสมาร์ทบอร์ด เอสซีจี ซูเปอร์", "ฟิล์มติดอาคาร Raycoool", "สุขภัณฑ์อัตโนมัติ รุ่น Klirr", "วัสดุตกแต่งพื้นผิว Standard Click Lock" และ "กระเบื้อง X STRONG"
สินค้ากรีน (Green Products): เช่น "ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำ WINDSOR" รายแรกในไทย และ "กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น DECAAR by SCG รุ่นคอมฟอร์ท" ที่มีเทคโนโลยี HeatSync
"แม้สถานการณ์สงครามการค้าจะยังไม่แน่นอน แต่เอสซีจีเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ที่ชัดเจน การปรับตัวที่รวดเร็ว และความทุ่มเทของทีมงาน จะช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรไว้ได้" พร้อมย้ำความสำคัญของการร่วมมือกับพันธมิตรผ่านโครงการต่างๆ เช่น 'NZAP: Net Zero Accelerator Program' และ 'Go Together' รวมถึงการจัด Leadership Forum ในงาน 'ESG Symposium' เพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและพร้อมแข่งขันในระดับโลก"นายธรรมศักดิ์ กล่าว