SCC ยึดเป้าโต 3-5% ชู 3 กลยุทธ์เด็ดลดต้นทุน-ปรับโครงสร้าง-ขยายพอร์ต ปัดฝุ่นแผนดัน SCGC เข้าตลาดหุ้นปี 71

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 31, 2025 17:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย [SCC] หรือเอสซีจี ยืนยันเป้าหมายยอดขายปี 68 เติบโต 3-5% แม้ครึ่งปีหลังยังเผชิญความท้าทายจาก "ภาษีทรัมป์" และค่าธรรมเนียมขนส่ง Transshipment ที่ต้องแบกรับ พร้อมประกาศคงแผนงานเดิม แต่จะมุ่งมั่นเดินหน้าเต็มที่ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ: ลดต้นทุน, ปรับโครงสร้างธุรกิจ และขยายพอร์ตสินค้ามูลค่าสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (HVA-Green Products) สู่ตลาดศักยภาพทั่วโลก นอกจากนี้ SCC เตรียมกลับมาเดินเครื่องโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) เวียดนามปลายเดือนสิงหาคมนี้ และมีแนวโน้มเห็นความชัดเจนในการนำ บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ [SCGC] เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2571

ผลประกอบการของ SCC ในครึ่งปีแรก มีรายได้ 249,077 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจจะมีกำไรอยู่ที่ 3,266 ล้านบาท ลดลงจากครึ่งแรกของปี 67 ที่ทำไปได้ 6,133 ล้านบาท ส่วน EBITDA อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าครึ่งปีหลังปี 67 ราว 21%

ทั้งนี้ SCC มั่นใจว่าทั้งปี 68 EBITDA จะดีกว่าปีก่อนที่ทำไปได้ 54,000 ล้านบาท หนุนด้วยกลยุทธ์ปรับพอร์ตลงทุน หยุดธุรกิจไม่ทำกำไร และบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกธุรกิจ รวมถึงหาโอกาสเข้าซื้อกิจการใหม่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของ SCC ที่ทำมาอยู่ตลอด โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาและพร้อมลงทุนทันทีถ้าข้อสรุปออกมาดี

สำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไรนั้น บริษัทฯ ได้พิจารณาถึงมาตรการต่าง ๆ ที่ควรจะทำ ทั้งยุติกิจการชั่วคราว ยุติถาวร หรือขายออกไป โดยระหว่างนี้มีการพูดคุยถึงสินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจซีเมนต์บางตัว

ขณะที่โครงการสำคัญ คือ โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) เตรียมกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้งปลายเดือนสิงหาคม 2568 แม้จะมีการพิจารณาปิดเป็นช่วงๆ หากไม่คุ้มทุน แต่เชื่อว่าการเดินหน้าทดลองทำย่อมดีกว่าการปล่อยให้โรงงานหยุดนิ่ง ขณะที่โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP ยังคืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570 และเมื่อโครงการนี้เสร็จสมบูรณ์ อาจจะพิจารณาผลักดัน SCGC เข้าตลาดหลักทรัพย์ SET

นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า โรงงาน LSP เป็นส่วนหนึ่งของแผนเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อรองรับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานที่ผันผวน SCC จะใช้จุดแข็งจากการมีฐานการผลิตที่หลากหลายในอาเซียน (Regional Optimization) ในการโยกย้ายฐานผลิตและส่งออกในภูมิภาคได้อย่างยืดหยุ่น เช่น การใช้ฐานการผลิตในเวียดนามที่ได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ได้เปรียบ 20% และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ อีกทั้งยังเป็นฐานการบริโภคที่มีศักยภาพการเติบโตสูง

ส่วนธุรกิจซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ก็จะขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ที่มีกำลังการผลิตสูงสุด 8,000 ตันต่อวันรองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย

ส่วนฝั่ง บมจ. เอสซีจี เดคคอร์ [SCGD] เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนที่เวียดนาม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง อีกทั้งบริหารต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ และฝั่งธุรกิจบรรจุภัณฑ์ หรือ [SCGP] ก็ได้เดินหน้าเสริมแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในเวียดนาม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ จนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพื่อกระจายตัวออกสหรัฐฯ ด้วย เช่น

ทวีปแอฟริกา: มีการขยายตลาด "ปูนเม็ด" (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ไปยังประเทศโกตติวัวร์ และกานา

ทวีปเอเชีย: มีการขยายตลาด "3D Printing Solution" เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย

ทวีปโอเชียเนีย: มีการขยายตลาด "หลังคาและฝาฝ้า" ที่พัฒนาคุณสมบัติให้เหมาะกับลูกค้าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และขยายตลาด "ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 1 และ 2" ไปออสเตรเลีย รวมทั้งเตรียมออก "ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 3" สู่ตลาดเป็นรายแรก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างทำ Pilot Project กับกว่า 15 โครงการ ของเอสซีจี ซีเมนต์ แอนด์ กรีนโซลูชันส์

ทวีปยุโรป: มีการขยายตลาด "กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน" ไปสาธารณรัฐเช็ก ของ SCGD และการปรับกระบวนการผลิต "บรรจุภัณฑ์อาหาร" เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนของ SCGP

SCC จะมุ่งลดต้นทุนเพื่อให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ ตั้งแต่การลดต้นทุนบริหารจัดการ จากการรวมศูนย์การผลิตของโรงงานที่มีความซ้ำซ้อน และการใช้หุ่นยนต์บรรจุปูนซีเมนต์และลำเลียงไปยังคลังสินค้า และใช้ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (AS/RS Warehouse System) ช่วยจัดสินค้าไปยังรถขนส่ง และร่วมกับพาร์ทเนอร์ พัฒนารถบรรทุกไฟฟ้าขนส่งในเหมือง (EV Mining Truck) แบบไร้คนขับเป็นรายแรกในไทย

ด้านเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ได้ใช้ระบบอัตโนมัติผลิตกระเบื้องและครอบหลังคา และแผ่นฝ้าผนังสมาร์ทบอร์ด ทำให้ได้สินค้าคุณภาพมาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายจากของเสียในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนบริหารจัดการ และเริ่มใช้ AI ช่วยลดขั้นตอนออกแบบ-พัฒนาสินค้าใหม่

ด้านทาง SCGD ก็ใช้ระบบอัตโนมัติเคลื่อนย้ายชิ้นงานกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในกระบวนการผลิตและบรรจุ รวมทั้งใช้ AI ช่วยออกแบบสินค้า จำลองกระบวนการก่อนผลิตจริง ตรวจสอบคุณภาพ รวมถึงบริหารคลังสินค้า และ เอสซีจีซี ใช้หุ่นยนต์บริหารจัดการโรงงาน อาทิ โรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรมที่ผลิตท่อและข้อต่อ PVC รวมถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC มีสัดส่วนการใช้หุ่นยนต์ (Robot Density) เทียบเท่าระดับ Best in Class ของโลก และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อลดระยะเวลาในการพัฒนาพอลิเมอร์

ในครึ่งปีแรก SCC ได้บริหารต้นทุนวัตถุดิบและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้ ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าได้รวม 912 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงานให้เดินเต็มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนได้ 616 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลง 6,989 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต ช่วยลดต้นทุนในแต่ละธุรกิจได้อีกด้วย

*ปรับโครงสร้าง เสริมแกร่ง และดัน "Smart Value - HVA - Green" รุกตลาด

นายธรรมศักดิ์ กล่าวอีกว่า SCC ยังคงเดินหน้าปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ เช่น ใน PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) อินโดนีเซีย, บางธุรกิจในยุโรปของ SCGC และบางธุรกิจในอินโดนีเซียของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 1,200 ล้านบาทต่อปี

กลยุทธ์สำคัญสำหรับครึ่งปีหลัง 2568 คือการเร่งขยาย "สินค้า Smart Value - HVA - Green" สู่ตลาดเติบโตสูง:

สินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products - SVP): ตอบสนองกำลังซื้อในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เช่น "ปูน ADAMAX" ในเวียดนาม "ปูน 5 Star" ในกัมพูชา "ปูน Bezt" ในอินโดนีเซีย

สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products - HVA) และโซลูชัน: เช่น "CHILLOX" โซลูชันประหยัดพลังงานสำหรับคลังสินค้าห้องเย็น, "DRS" (Digital Reliability Service Solutions) บริการดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรม, "ฝาปิดท่อคอนกรีตกำลังอัดสูง" สำหรับสายไฟใต้ดิน, "ปูนจับเซี้ยมสำเร็จรูป", "ONNEX ArcBox" นวัตกรรมป้องกันไฟไหม้แผงโซลาร์, "ผนังสมาร์ทบอร์ด เอสซีจี ซูเปอร์", "ฟิล์มติดอาคาร Raycoool", "สุขภัณฑ์อัตโนมัติ รุ่น Klirr", "วัสดุตกแต่งพื้นผิว Standard Click Lock" และ "กระเบื้อง X STRONG"

สินค้ากรีน (Green Products): เช่น "ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำ WINDSOR" รายแรกในไทย และ "กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น DECAAR by SCG รุ่นคอมฟอร์ท" ที่มีเทคโนโลยี HeatSync

"แม้สถานการณ์สงครามการค้าจะยังไม่แน่นอน แต่เอสซีจีเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ที่ชัดเจน การปรับตัวที่รวดเร็ว และความทุ่มเทของทีมงาน จะช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรไว้ได้" พร้อมย้ำความสำคัญของการร่วมมือกับพันธมิตรผ่านโครงการต่างๆ เช่น 'NZAP: Net Zero Accelerator Program' และ 'Go Together' รวมถึงการจัด Leadership Forum ในงาน 'ESG Symposium' เพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและพร้อมแข่งขันในระดับโลก"นายธรรมศักดิ์ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ