สรุป 3 คดีหุ้น MORE ฉ้อโกง-อั้งยี่ ศาลสั่งคืนเงินกว่า 4.5 พันลบ.ให้ 10 โบรก, ปั่นหุ้น 226 ลบ.ยึดเงินเข้าหลวง

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 1, 2025 13:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สรุป 3 คดีหุ้น MORE ฉ้อโกง-อั้งยี่ ศาลสั่งคืนเงินกว่า 4.5 พันลบ.ให้ 10 โบรก, ปั่นหุ้น 226 ลบ.ยึดเงินเข้าหลวง

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) แถลงความคืบหน้าสำคัญในการดำเนินการคดีหุ้น บมจ.มอร์รีเทิร์น [MORE] แบ่งเป็น 3 สำนวนทั้งข้อหาฉ้อโกง อั้งยี่ และสร้างราคาหุ้น

สำหรับคดีฉ้อโกง ศาลมีคำสั่งคืนหรือชดใช้ทรัพย์สินให้บริษัทหลักทรัพย์ผู้เสียหาย 10 ราย รวมมูลค่า 4.5 พันล้านบาท คดีอั้งยี่ 129 ล้านบาทจะคืนให้บริษัทหลักทรัพย์ 10 รายเช่นกัน ส่วนคดีปั่นหุ้น เป็นมาตรการทางแพ่งที่มีมูลค่าความเสียหายราว 226 ล้านบาท จะเรียกค่าปรับให้เงินตกเป็นของแผ่นดิน

พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวว่า คดีหุ้น MORE เป็นพัฒนาการของอาชญากรรมทางเศรษฐกิจอีกรูปแบบหนึ่งที่ผู้กระทำผิดอาศัยความรู้ ความชำนาญ เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์หรือ อยู่ในแวดวงนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รู้ขั้นตอนวิธีการซื้อขาย ชำนาญจนมองเห็นช่องโอกาสที่จะทุจริตได้

ความสำเร็จของเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการบูรณาการหลายหน่วยงาน ยกระดับมาตรฐานการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้ระงับยับยั้งความเสียหายของบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 10 บริษัท รวมความเสียหายประมาณ 4,500 ล้านบาท ที่จะต้องชำระให้กับผู้ขายหลักทรัพย์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วย โดยใช้มาตรการทางแพ่งของกฎหมายฟอกเงิน ในการร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินและนำมาเฉลี่ยคืนให้กับผู้เสียหาย และยังมีการดำเนินคดีอาญากับกลุ่มผู้ร่วมกระทำผิดด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายฟอกเงิน เท่ากับผู้กระทำผิดไม่ได้ทรัพย์สินตามที่ตั้งใจไว้และยังอาจจะต้องรับโทษในทางอาญาในสถานหนักด้วย

พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับผู้กระทำผิด 42 ราย แบ่งผู้ต้องหาคร่าว ๆ เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้วางแผนผู้กระทำผิด 2 ราย มี 1 รายอยู่ระหว่างหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการติดตามตัว กลุ่มที่ 2 ตัวการสนับสนุนด้วยการป้อนคำสั่งผ่านโปรแกรมซื้อขายหลักทรัพย์ และกลุ่มที่ 3 เจ้าของบัญชีที่ให้ผู้กระทำผิดนำไปซื้อขายหุ้น มีผู้กระทำผิดมากที่สุด 33 ราย

ขณะที่ความคืบหน้าการดำเนินคดีอาญา ปัจจุบันอัยการสูงสุดสั่งฟ้องทั้ง 42 ราย และสั่งให้มีการแจ้งข้อหาบางรายเพิ่มเติม ขณะนี้อยู่ระหว่างที่พนักงานอัยการสูงสุดนัดส่งตัวผู้ต้องหาเพื่อนำไปฟ้องต่อศาล

นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวถึงการคุ้มครองนักลงทุนรายย่อยว่า การพิสูจน์ความเสียหายในคดีปั่นหุ้นเป็นเรื่องที่ยากที่จะระบุความเสียหายของนักลงทุนแต่ละราย ดังนั้น ศาลจึงมองในเชิงของการพิพากษาให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินไป ขณะเดียวกันหลังจากอายัดทรัพย์ของผู้กระทำผิดแล้ว ภายหลังจากวันที่ 18 ก.ค.68 ที่มีคำตัดสินของศาล ผู้ต้องหายังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ 30 วัน หากไม่มีการอุทธรณ์ถือว่าคดีสิ้นสุด และ ปปง.จะประสานกับบริษัทหลักทรัพย์เพื่อคืนหรือชดใช้ทรัพย์สินตามความเสียหาย

แต่หากผู้ต้องหายื่นอุทธรณ์ ปปง.ก็มั่นใจว่าความผิดมูลฐานมีความชัดเจน รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกันเป็นพยานให้กับศาล ซึ่งศาลวินิจฉัยลงไปเนื้อหารายละเอียดต่าง ๆ ปปง.ยังคงมั่นใจในการดำเนินการ

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลท.กล่าวว่า คดีหุ้น MORE ที่มีคำพิพากษาออกมาเชื่อว่าจะช่วยหนุน Trust and Confidence ให้กับตลาดทุนไทยได้มากขึ้น และเป็นบทเรียนที่ ตลท.ต้องนำมาพัฒนาต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาผู้กระทำผิดมีการพัฒนาการกระทำเพื่อหลบเลี่ยงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ หน้าที่ของ ตลท. คือการร่วมมือกับ ก.ล.ต.และหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ เตรียมความพร้อมใช้เทคโนโลยีในการติดตาม วิเคราะห์ข้อมูล การซื้อขายหลักทรัพย์ทุกหลักทรัพย์ ให้ทันท่วงที หรือมีข้อมูลให้นักวิเคราะห์ทราบเพื่อพิจารณาความเสี่ยงที่เหมาะสมต่อการตัดสินใจลงทุน

"เรื่องความเชื่อมั่นต้องใช้เวลาในการดึงกลับมาจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ตลท.ก็ต้องคอยสื่อสาร พัฒนา หาแนวป้องกันใหม่ๆ เพื่อมาดูแลรักษาตลาดทุนของเราให้ดีครับ"

นายอัสสเดช กล่าวอีกว่า คดีหุ้น MORE ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของการกระทำความผิดในตลาดทุนที่มีความซับซ้อนมากขึ้นและทำให้เกิดผลกระทบกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ในวงกว้าง ซึ่งการดำเนินการกับการกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเข้มแข็งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สะท้อนให้เห็นว่า การบูรณาการความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานภาคตลาดทุนมีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน

สำหรับการป้องกันการกระทำผิดลักษณะเช่นนี้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตลท. ได้ยกระดับมาตรการกำกับ ดูแลด้วยการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหลักทรัพย์ อาทิ มาตรการ Auto Pause รายหลักทรัพย์ มาตรการ Minimum Resting Time การเปิดเผยข้อมูลหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้น ตลอดจนการเปิดเผยข้อมูลผู้ลงทุนที่ส่งคำสั่งซื้อขายไม่เหมาะสมแก่ บล.ทุกราย เพื่อให้สามารถใช้ประกอบการบริหารความเสี่ยงและร่วมกันป้องปรามพฤติกรรมดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงเริ่มเกิดเหตุการณ์ของการกระทำความผิด จนสามารถรวบรวมหลักฐานในการร้องทุกข์กล่าวโทษได้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ASCO ได้นำเสนอมาตรการต่างๆ ต่อหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อปิดความเสี่ยงไม่ให้เกิดเหตุซ้ำขึ้นอีกในอนาคต

และที่สำคัญ คือ การจัดตั้ง Securities Data Exchange Plaform (SDEP) เพื่อให้ บล.รับทราบข้อมูลลูกค้าที่มีความเสี่ยงในระดับอุตสาหกรรม ทั้งข้อมูลวงเงิน คุณภาพหลักประกัน มูลหนี้ และประวัติการชำระราคา ด้วยการจัดตั้ง Platform การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ Decentraized คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายใน 1 ก.พ.69


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ