
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รายงานภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ประจำเดือนกรกฎาคม 2568 โดย SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 14% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่สูงกว่าตลาดส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ได้รับอานิสงส์จากเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้าสู่ตลาด คาดการณ์ GDP ไทยเติบโตดีขึ้น และโอกาสที่ไทยจะมีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ
ทั้งนี้ การบรรลุข้อตกลงการค้าของอินโดนีเซียและเวียดนามกับสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือน ก.ค.68 โดยสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) อัตราใหม่จากทั้งสองประเทศที่ 19% และ 20% ตามลำดับ ได้สร้างบรรทัดฐานสำคัญในระดับภูมิภาค และส่งผลให้นักวิเคราะห์ประเมินว่ารัฐบาลไทยมีแนวโน้มที่จะบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐภายใต้เงื่อนไขที่ใกล้เคียงกัน ส่งผลเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในระดับสูง ประกอบกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2568 ขยายตัว 2.2% จากประมาณการเดิมที่ 2.1% เป็นปัจจัยหลักให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท.กล่าวว่า การอ่อนค่าของดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ในเดือน ก.ค.68 เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ดึงเงินลงทุนกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) โดยเฉพาะเอเชีย ซึ่งเริ่มได้รับการจัดสรรพอร์ตใหม่จากกองทุนต่างชาติ ในส่วนของตลาดหุ้นไทย Valuation น่าสนใจ และแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทมักจะช่วยให้มีเงินทุนไหลเข้า และ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยผู้ลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 14 วัน จาก 21 วันทำการในเดือนกรกฎาคม 2568 ส่งผลให้มียอดซื้อสุทธิ 16,121 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกลับมาซื้อสุทธิเดือนแรกตั้งแต่เดือนกันยายน 2567
การปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยของ สศค. อยู่บนสมมติฐานที่ว่าเศรษฐกิจยังได้แรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะอยู่ที่ 34.5 ล้านคน ขณะที่การส่งออกสินค้าคาดขยายตัว 5.5% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.3% สะท้อนผลของการเร่งส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกเพื่อบริหารความเสี่ยงจากสงครามการค้า
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ Federal Open Market Committee (FOMC) ของสหรัฐฯ มีมติอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% - 4.50% เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน โดยถ้อยแถลงของประธาน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังสะท้อนความไม่แน่นอนสูงเกี่ยวกับนโยบายทางภาษีที่อาจจะกระทบทั้งอัตราเงินเฟ้อและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ส่งผลให้การดำเนินนโยบายทางการเงินจะเป็นไปอย่างระมัดระวัง และยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
สรุปภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือน ก.ค.68
- ณ 31 ก.ค.68 SET Index ปิดที่ 1,242.35 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 14.0% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือน ก.ค.68 SET Index ปรับลดลง 11.3%
- เดือน ก.ค.68 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม
- มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 42,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% จากเดือน ก.ค.67 อย่างไรก็ดี ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปี 68 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมอยู่ที่ 41,971 ล้านบาท ลดลง 5.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 50.68% ของมูลค่าการซื้อขายรวมในเดือนกรกฎาคม อีกทั้งยังซื้อสุทธิ 16,121 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกลับมาซื้อสุทธิเดือนแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2567
- Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือน ก.ค.68 อยู่ที่ระดับ 13.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 14.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.8 เท่า
- อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือน ก.ค.68 อยู่ที่ระดับ 3.95% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.17%
ด้านภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 355,290 สัญญา ลดลง 19.8% จากเดือนก่อนหน้า ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 2568 ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 425,984 สัญญา ลดลง 11.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures