อยู่ดี ๆ ประเทศจีนก็ออกคำเตือนเกี่ยวกับการสแกนม่านตาเพื่อรับเหรียญ ถือเป็นภัยความมั่นคงของชาติ!! ข้อมูล หรือ ภาพม่านตาของเราสำคัญขนาดไหน แล้วจะมีเหรียญใดที่ได้รับผลกระทบบ้าง?? ในไทยเองก็มีเหรียญลักษณะคล้ายคลึงกันเหมือนกันนะ!!
กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐของจีน (MSS) ได้ออกคำเตือนถึงภัยคุกคามด้านความมั่นคงของชาติที่เกิดจากการที่บริษัทต่างชาติใช้การแจกเหรียญคริปโทฯ เป็นแรงจูงใจในการเก็บข้อมูลชีวมิติ (Biometric Data) ซึ่งหมายถึงการสแกนม่านตา
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม หน่วยงาน MSS ได้มีการยกตัวอย่างกรณีของบริษัทแห่งหนึ่งที่นำเสนอรางวัลเป็นโทเค็นคริปโทฯ เพื่อแลกกับการสแกนม่านตาของผู้คนทั่วโลก ก่อนจะส่งข้อมูลสำคัญเหล่านั้นออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลอย่างยิ่งต่อทั้งความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงของชาติ
ประเด็นความกังวลในลักษณะนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีรายงานว่าหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และเคนยา สั่งระงับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการเก็บข้อมูสแกนม่านตาเป็นเวลาชั่วคราว เนื่องจากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความยินยอมในการให้ข้อมูล การจัดเก็บข้อมูล และความเสี่ยงที่อาจถูกนำไปใช้เพื่อการสอดแนม
นอกจากนี้ คำเตือนของทางการจีนยังได้กล่าวถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลใบหน้าอาจถูกขโมยและนำไปสร้างตัวตนปลอม (Deepfake) เพื่อใช้ในการแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่ที่มีความปลอดภัยสูง ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความอันตรายของการเก็บข้อมูลชีวมิติโดยปราศจากการควบคุมที่รัดกุม
มองข้ามไม่ได้เลยกับประเทศบราซิล ซึ่งอาจจะเป็นประเทศที่มีการจัดตั้ง Bitcoin Reserve นำบิทคอยน์มาเป็นทุนสำรองของประเทศอย่างจริงจังต่อจากสหรัฐอเมริกา หลังจากสภาผู้แทนราษฎรของบราซิลได้กำหนดวันพิจารณาเรื่องนี้อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 สิงหาคมนี้
ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ของสภาฯ ระบุว่าได้เชิญสถาบันอย่างน้อย 6 แห่งเข้าร่วมในการพิจารณาครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงธนาคารกลางแห่งบราซิล, กระทรวงการคลัง, สมาคมผู้สนับสนุนคริปโต และตัวแทนจากบริษัทฟินเทคและภาคธนาคาร โดยร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งถูกเสนอมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 67 มีเป้าหมายที่จะอนุญาตให้มีการนำเงินทุนสำรองของประเทศสูงสุดถึง 5% มาใช้ในการเข้าซื้อ Bitcoin ซึ่งอาจหมายถึงเม็ดเงินลงทุนมหาศาลถึงประมาณ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อพิจารณาจากเงินทุนสำรองทั้งหมดของธนาคารกลางที่ประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์
วัตถุประสงค์ของคลังสำรองคริปโทฯ นี้ คือเพื่อ "ปกป้องเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์" และ "ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในภาครัฐและเอกชน"
และหากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบ จะทำให้บราซิลก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศที่ถือครอง Bitcoin โดยภาครัฐมากที่สุดในโลก จากข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 68 บราซิลมีเงินสำรองระหว่างประเทศประมาณ 3.43 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหากนำ 5% ของจำนวนนั้นมาใช้ จะทำให้มูลค่าคลังสำรอง Bitcoin ของบราซิลมีมูลค่าสูงถึง 1.72 หมื่นล้านดอลลาร์
และด้วยงบประมาณดังกล่าว จะทำให้บราซิลแซงหน้าประเทศอย่างสหราชอาณาจักร (UK) และเยอรมนีขึ้นเป็นผู้นำในการถือครอง Bitcoin อันดับ 3 ของโลกเป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกาและจีนเท่านั้น
จำได้ไหมที่อยู่ดี ๆ รูปปั้นของ Satochi Nakamoto ผู้สร้างบิคอยน์ที่ยังคงเป็นปริศนาจนถึงในปัจจุบัน ได้ถูกขโมยไปจาก สวนสาธารณะในเมือง Lugano ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตอนนั้นทาง Satoshigallery ได้ประกาศตามหา พร้อมทั้งให้เงินรางวัลแก่ใครที่หามาคืนได้ จะได้รับเงินรางวัล 0.1 BTC คิดเป็นเงินก็ประมาณ 11,000 ดอลลาร์เลยทีเดียว
รูปปั้น Satoshi ถูกออกแบบโดยศิลปินชาวอิตาลี Valentina Picozzi ซึ่งเป็นผู้สนับสนุน Bitcoin โดยสร้างจากเหล็กกล้าไร้สนิม 304 และบล็อก corten โดยเขาใช้ใช้เวลาศึกษากว่า 18 เดือน และก่อสร้างอีก 3 เดือน แสดงเป็นภาพบุคคลไร้หน้า (faceless figure) กำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ออกแบบมาให้ "หายตัว" เมื่อมองจากด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อสะท้อนถึงความไร้ตัวตนของ Satoshi Nakamoto ผู้สร้าง Bitcoin และแนวคิดที่ว่า "We are all Satoshi หรือ เราทุกคนคือซาโตชิ"
และรูปปั้นนี้ได้เปิดตัวในเดือนตุลาคมปีที่แล้วบริเวณด้านหน้าวิลล่า Ciani ในงาน Plan B Forum งานสัมมนาใหญ่ประจำปีด้านบล็อกเชนซึ่งร่วมจัดโดยเทศบาลเมืองลูกาโนและบริษัทผู้ออก stablecoin อย่าง Tether
ก่อนหน้านี้ ในปี ค.ศ.2021 ก็มีการเปิดตัว รูปปั้นซาโตชิในกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ที่สวน Graphisoft Park รูปปั้นนั้นทำจากทองสัมฤทธิ์ และออกแบบให้ใบหน้าเป็นกระจกสะท้อน เพื่อให้ผู้ชม "เห็นตัวเอง" ในตัวซาโตชิ ซึ่งสื่อถึงแนวคิดเดียวกันว่า "ซาโตชิอาจเป็นใครก็ได้"
ในที่สุดเราก็ตามหารูปปั้นเจอ!! รูปปั้นของ Satochi Nakamoto ถูกพบในสภาพเสียหาย โดยเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองลูกาโน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้พบชิ้นส่วนของรูปปั้นลอยอยู่ในทะเลสาบลูกาโน ท่ามกลางความโกรธเคืองของชาวคริปโทฯ ทั่วโลก
ทาง Satoshigallery ซึ่งเป็นผู้จัดแสดงผลงานนี้ได้โพสต์ข้อความลงบน X พร้อมระบุว่า "เราขอขอบคุณเทศบาลเมืองลูกาโน @luganomycity ที่ช่วยเรากู้คืนรูปปั้นที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบ" ขณะที่ กลุ่ม Satoshigallery ซึ่งอยู่เบื้องหลังงานศิลปะชิ้นนี้ ยืนยันว่ารูปปั้นนี้ถูกพบในสภาพแตกเป็นหลายชิ้น บ่งบอกว่าเป็นการทำลายโดยเจตนามากกว่าจะขโมยไปเพื่อขายหรือสะสม โดยส่วนเท้าของรูปปั้นยังยึดกับฐานปูน ทำให้คาดว่าตัวรูปปั้นนี้ถูกงัดออกอย่างจงใจ
หลังการค้นพบ ชุมชนคริปโทฯ ในโลกออนไลน์พากันแสดงความไม่พอใจ หลายคนเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็น "อาชญากรรมทางวัฒนธรรม" และไม่ว่ายังไงก็ตาม การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่การกระทำที่ดีเลย
https://youtu.be/90h8-CjyHZk