HILITE: OR ลบ 3% แจ้งกำไร Q2/68 ร่วงเกือบ 50% QoQ ต่ำกว่าคาด-มาร์จิ้นน้ำมันหด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 8, 2025 10:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

OR ลบ 3.10% ลดลง 0.40 บาท มาที่ 12.50 มูลค่าการซื้อขาย 123.15 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.12 น.

บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก [OR] กำไร Q2/68 ต่ำกว่าคาด และ ความเสี่ยงธุรกิจสูงขึ้นใน H2/68 คงคำแนะนำ "ขาย" ที่ราคาเป้าหมายเดิม 12.50 บาท อิง 2025E PER ที่ 17.2x (-2.75SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลังของกลุ่มค้าปลีก)

ทั้งนี้ OR รายงานกำไรสุทธิ Q2/68 ที่ 2.2 พันล้านบาท (-12% YoY, -49% QoQ) ต่ำกว่าเราและตลาดคาด 11%/14% ตามลำดับ โดยต่ำกว่าเราคาดหลักๆ จากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตร (GP/litre) ที่ต่ำกว่าคาดอยู่ที่ Bt0.85/litre (-6% YoY, -17% QoQ) (เทียบกับที่เราประเมินที่ Bt0.90/litre)

กำไรอ่อนตัว YoY ตามการรับรู้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX loss) ขณะที่ลดลงแรง QoQ ตาม GP/litre ที่อ่อนแอและปริมาณขายน้ำมันลดลงตามปัจจัยฤดูกาล ขณะที่บริษัทรับรู้รายการโอนกลับผลขาดทุนด้านเครดิตของลูกหนี้ (reversal of allowance for ECL) เพิ่มเติมอีกไตรมาสนี้

สำหรับภาพรวม Q3/68 เราเชื่อว่าปริมาณขายน้ำมันจะลดลงต่อเนื่องจากอุปสงค์ที่ลดลงในช่วงฤดูฝน อีกทั้งบริษัทอาจจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากข้อขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาซึ่งอาจทำให้ปริมาณขายน้ำมันในกัมพูชาลดลง

คงประมาณการกำไรสุทธิปี 68/69 ที่ 8.7/9.4 พันล้านบาท เทียบกับ 7.7 พันล้านบาทในปี 67 สมมติฐานที่สำคัญ คือ

1) ปริมาณขายน้ำมันในประเทศจะเติบโตที่ปีละ 3%

2) GP/litre จะทรงตัวที่ Bt0.84/litre ใกล้เคียงปี 2024

3) รายได้ของธุรกิจ Lifestyle ที่สูงขึ้นปีละ 5% ตามจำนวนสาขา Cafe Amazon และร้านสะดวกซื้อที่เพิ่มขึ้น

4) ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม (equity income) ที่สูงขึ้นจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางค่าเงินที่น้อยลงของธุรกิจในเมียนมา

ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 15% และ outperform SET 17% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนแนวโน้มเงินทุนไหลเข้า (fund flow) หุ้นใหญ่ (large cap) สูงขึ้น แม้ราคาปัจจุบันสะท้อน PER ที่อาจดูไม่แพงที่ 17.8x (ประมาณ -2.70SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลังกลุ่มค้าปลีก) แต่เชื่อกำไรผ่านจุดสูงสุดของปีไปแล้วใน Q1/68 ทั้งนี้ กำไรปกติ H1/68 คิดเป็น 59.9% ของประมาณการปี คาดกำไรจะอ่อนตัว HoH ใน H2/68 ตามแนวโน้ม GP/litre ทรงตัวต่ำ อีกทั้งคาดปริมาณขายน้ำมันในต่างประเทศน่าจะอ่อนตัวจากข้อขัดแย้งไทยและกัมพูชา นอกจากนี้ บริษัทน่าจะรับรู้รายการ reversal of allowance for ECL ที่ลดลง

ด้าน บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า OR รายงานกำไร Q2/68 อ่อนตัวลงเหลือ 2.2 พันล้านบาท -12% YoY, -49% QoQ ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด

1) ปริมาณขายน้ำมันอยู่ที่ 6.4 พ้นล้านลิตร Flat YoY, -5% QoQ ซึ่งลดลงมาจากตลาดน้ำมันอากาศยานแข่งขันสูง และเป็นช่วง Low Season โดยปริมาณขายตลาดพาณิชย์ลดลง 10% QoQ ในขณะที่ตลาด Retail ยังมีการเติยโตได้ดี 3.7% QoQ

2) Margin เฉลี่ยต่อลิตรอยู่ที่ 0.85 บาทต่อลิตร ลดลงจาก Q2/67 ที่ 0.90 บาทต่อลิตร และ Q1/68 ที่ 1.02 ต่อลิตร จากความผันผวนของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่าน

3) ธุรกิจ Lifestyle EBITDA อยู่ที่ 1,8 พันล้านบาท +13% YoY, +3% QoQ เพิ่มขึ้น YoY จากการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ดี ในขณะที่เพิ่มขึ้น QoQ ตามยอดขาย EBITDA Margin ไตรมาสนี้ยังอยู่ที่ 28.7% ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนที่ 29.9% ลดลงจากค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขาย

ยังคงประมาณการกำไรปี 68 ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ด้วยสมมติฐานปริมาณขายที่ 2.7 หมื่นล้านลิตร +5% YoY, Gross Margin ต่อลิตรที่ 0.95 บาทต่อลิตร และธุรกิจ Lifestyle EBITDA ที่ 25% โดยประมาณการ H1/68 คิดเป็น 52% ของประมาณการทั้งปีของเรา

สำหรับสัดส่วน EBITDA Contribution จากกัมพูชานั้นอยู่ราว 5% ของ EBITDA หรือประมาณ 800-900 ล้านบาทต่อปี ซึ่งทางบริษัทยังคงติดตามผลกระทบอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้โมเดลส่วนใหญ่เป็น Franchise ซึ่งกระแสข่าวที่ Dealer จะมีการเปลี่ยนชื่อทั้งปั๊มและร้านกาแฟนั้น อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดแต่เป็นเพียงส่วนนึงเท่านั้น

คงคำแนะนำ "ซื้อ" และราคาเป้าหมายที่ 18.00 อิง PER ที่ 17 เท่า PER-1SD ปัจจุบันราคาหุ้น ซื้อขายที่ต่ำกว่า -2SD ทั้ง PER และ PBV


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ