
นายชินดนัย ไชยยอง กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย [AMARC] เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวดไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 77.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 863.2% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน การเติบโตของกำไรสุทธิเกิดจากรายได้จากการให้บริการที่ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะบริการตรวจวิเคราะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง อีกทั้ง บริษัทยังสามารถควบคุมต้นทุนบริการ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่ารายได้
ขณะที่รายได้จากการบริการรวม 165.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.06 ล้านบาท หรือ 100.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นรายได้จากบริการตรวจวิเคราะห์จำนวน 160.35 ล้านบาท ซึ่งยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัท การเติบโตดังกล่าวเป็นผลจากการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าเอกชน ซึ่งมีความต้องการใช้บริการตรวจวิเคราะห์ที่ครอบคลุมและหลากหลายมากขึ้น บริษัทได้พัฒนารายการทดสอบให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ใช้กลยุทธ์การทำตลาดเชิงรุกในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ได้รับการตอบรับอย่างดี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการส่งออกผักและผลไม้ที่ต้องการบริการที่ได้รับรองตามมาตรฐานสากล เพื่อเป็นไปตามข้อกำหนดของประเทศปลายทาง ปัจจัยเหล่านี้ช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกภูมิภาค
นอกจากนี้ มีรายได้จากบริการสอบเทียบเติบโตเพิ่มขึ้น 8.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Organic Growth) ทั้งจากลูกค้าใหม่และการขยายบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเดิมได้มากขึ้น และกลุ่มงานตรวจสอบและรับรองระบบ (Inspection & Certification) มีรายได้ 1.98 ล้านบาท จากการรับรู้จากงานโครงการของรัฐที่บริษัทฯได้ประมูลไว้ได้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา รวมถึงการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ที่เริ่มดำเนินการในปีนี้
ขณะที่ผลประกอบการในงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 100.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 611.9% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14.16 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการบริการรวม 267.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการบริการรวม 158.22 ล้านบาท
"ผลประกอบการที่ออกมาเป็นที่น่าประทับใจทั้งรายได้และกำไร โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากรายได้รวมที่เติบโต ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในงวด 6 เดือนของปีนี้ ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 57.9% เทียบกับงวด 6 เดือนแรกของปีก่อนอยู่ที่ 39.4% สะท้อนถึงประสิทธิภาพการดำเนินงาน การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพร่วมกับรายได้ที่เติบโต และการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด" นายชินดนัย กล่าวนายชินดนัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 บริษัทประเมินว่ายังคงมีทิศทางการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมาส 3/68 ซึ่งโดยปกติถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของการส่งออกในภาคธุรกิจเกษตรและอาหาร จากแนวโน้มดังกล่าว จึงเชื่อว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สนับสนุนให้ผลประกอบการโดยรวมในปี 2568 เติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อีกทั้งยังเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับแผนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวของบริษัท