
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู [BANPU] เปิดเผยทิศทางผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังคาดเติบโตกว่าครึ่งปีแรก มองว่าบริษัทมีความมั่นคงด้านผลผลิต ทั้งถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า รวมทั้งราคาถ่านหินเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา ขณะที่ราคาก๊าซสามารถล็อคราคาของครึ่งปีหลังนี้ ไปแล้วกว่า 60-70% อีกทั้งยังลดต้นทุนได้ตามแผนต่อเนื่อง สำหรับประเด็นเรื่องค่าเงินมองว่าเงินบาทจะทรงตัวในระดับ 32.4 บาท/ดอลลาร์ ไม่น่าจะแข็งค่าเพิ่มขึ้น ทำให้ผลกระทบในช่วงที่เหลือของปีไม่มาก โดยคาดว่า EBITDA ปี 68 จะอยู่ในระดับ 1,200 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่ทำได้ในแต่ละปี
โดยธุรกิจถ่านหินในช่วงครึ่งปีแรกราคาอ่อนตัวลงมา ส่งผลให้ EBITDA ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญราว 32% อย่างไรก็ตามตั้งแต่ไตรมาส 3/68 เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของราคาถ่านหินอย่างชัดเจน โดยยังคงเป้าการขายรวมที่ 43.6 ล้านตัน แบ่งเป็นในอินโดนีเซีย 27.8 ล้านตัน ออสเตรเลีย 7.8 ล้านตัน จีนและมองโกเลีย 8 ล้านตัน โดยอินโดนีเซียและออสเตรเลีย ภาครัฐเริ่มเข้ามามีบทบาทในการจำกัดซัพพลาย ทำให้ราคาปรับขึ้นมา ขณะเดียวกันในไตรมาส 3/68 เริ่มเห็นดีมานด์ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน รวมทั้งยุโรป ที่มีการซื้อถ่านหินเข้าใช้ผลิตไฟฟ้า
ทั้งนี้ยังต้องติดตามโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ Temple II แม้จะสร้างกระแสเงินสดได้ลดลง YoY แต่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับปัจจุบันเทรนด์ Data Center มีการเติบโตมาก โดยเฉพาะในสหรัฐ ทำให้ธุรกิจไฟฟ้ามีแนวโน้มที่ดีมานด์จากเพิ่มมากขึ้นทั้งปัจจุบันและในอนาคต แม้ว่าปีนี้อากาศไม่ร้อนมาก แต่กระแสไฟฟ้าที่ขายและมีการจ่ายเข้าระบบยังมากอยู่ไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญแสดงให้เห็นถึงดีมานด์ที่เข็มแข็งในการทำธุรกิจในสหรัฐ นอกจากนี้บริษัทสามารถล็อคราคาในระดับสูงไว้ได้แล้ว
"ครึ่งปีแรกนี้ บ้านปูขยายการเติบโตภายใต้กลยุทธ์ Energy Symphonics โดยมุ่งบริหารพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ (Portfolio Optimization) หมุนเวียนเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ศักยภาพสูง ควบคู่กับการปรับโครงสร้างการดำเนินงาน (Operations & Cost Excellence) และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ลดต้นทุนในธุรกิจเหมือง รวมถึงการบริหารโครงสร้างเงินทุน (Rebalanced Capital Structure) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว ความคืบหน้าที่โดดเด่นเห็นได้จาก 3 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติและ CCUS ธุรกิจ Renewables+ และธุรกิจเหมืองยุคใหม่ ที่เรามองว่าเป็นภารกิจสำคัญที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ และเป็นกลไกสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน"สำหรับไฮไลท์ผลการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลักในครึ่งปีแรก 2568 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ธุรกิจเหมือง ปริมาณการผลิตและขายรวมครึ่งแรกปี 2568 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่จากสภาวะราคาถ่านหินทั่วโลกอ่อนตัวอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อน จึงกระทบต่อผลการดำเนินงานโดยรวม การมุ่งเน้นประสิทธิภาพในการจัดซื้อจัดจ้างงานด้านวิศวกรรม การเงิน และดำเนินงาน ( Value Efficiency Program) ที่เหมืองสำคัญในออสเตรเลียทำให้ต้นทุนเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่เหมืองในประเทศอื่น ๆ สามารถบริหารต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอยู่ในระดับที่ดี สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนได้ดี นอกจากนี้ยังได้เริ่มลงทุนใน PT Aneka Tambang (AKP) ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่อุตสาหกรรมแร่พลังงานแห่งอนาคต เสริมความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า โดยการเข้าถึงแหล่งนิกเกิลคุณภาพสูงตั้งแต่ต้นน้ำ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ในครึ่งปีที่ผ่านมา ปริมาณการขายอยู่ในระดับใกล้เคียงกันกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของบ้านปูอยู่ที่ 2.92 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู เพิ่มขึ้นจาก 1.82 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) เดินหน้าขยายพอร์ตจากการร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ และได้ตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในโครงการ East Texas ซึ่งจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ประมาณ 70,000 ตันต่อปี คาดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นปี 2570 นอกจากนั้นยังมีการเข้าซื้อกิจการ Bedrock Production, LLC เจ้าของธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจกลางน้ำในแหล่งบาร์เน็ตต์ รัฐเท็กซัส หลังการทำธุรกรรมเสร็จสิ้นประมาณเดือนตุลาคมปีนี้ กำลังการผลิตรวมของ BKV จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 108 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติ 1P จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน โรงไฟฟ้าในทุกประเทศมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจส่งผลให้สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่อง ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรวม 969 เมกะวัตต์เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 2567 ที่ 66 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ กำลังผลิตรวมของกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงานคงที่ 3,935 เมกะวัตต์เทียบเท่า
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 1,130 เมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) ตามสัดส่วนการลงทุน ที่ดำเนินการผ่านบ้านปู เน็กซ์ มีความคืบหน้าที่สำคัญในครึ่งปีแรก โดยในญี่ปุ่น โครงการ Iwate Tono กำลังการผลิต 14.5 เมกะวัตต์ ความจุพลังงาน 58 เมกะวัตต์ชั่วโมง เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เดือนมิถุนายน 2568 และในออสเตรเลีย มีการลงทุนในโครงการระบบกักเก็บพลังงานวูรีน (Wooreen Energy Storage System: WESS) กำลังการผลิตติดตั้ง 350 เมกะวัตต์ และความจุพลังงาน 1,400 เมกะวัตต์ชั่วโมง คาดว่าจะเปิดดำเนินการภายในปี 2570 ธุรกิจจัดการพลังงาน เดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์สู่ Net Zero ควบคู่กับความร่วมมือระดับนานาชาติผ่านเวทีนโยบายไทย-ญี่ปุ่น และการลงนาม MOU กับ Asuene ประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการลดคาร์บอนในภาคธุรกิจ และยังได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนสำหรับองค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง สำหรับธุรกิจการซื้อขายไฟฟ้า (Energy Trading) ในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สามารถจำหน่ายไฟฟ้าจำนวนรวม 3,525 กิกะวัตต์ชั่วโมง โดยให้บริการลูกค้ารวม 1,956 ราย ซึ่งได้มีการนำระบบ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการคาดการณ์ราคาซื้อขายไฟฟ้า เพื่อยกระดับความสามารถในการทำกำไร
สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 2,521 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 84,543 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 571 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,144 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 42.76 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,428 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการรับรู้ผลขาดทุนจากการแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ไม่กระทบต่อกระแสเงินสด และความแข็งแกร่งของการดำเนินงานของบริษัทฯ