BLS เก็ง SET ปรับฐาน Q3 รับมรสุมศก.-การเมืองก่อนฟื้น แนะกลยุทธ์จัดพอร์ตรอรับขาขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 19, 2025 13:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

BLS เก็ง SET ปรับฐาน Q3 รับมรสุมศก.-การเมืองก่อนฟื้น แนะกลยุทธ์จัดพอร์ตรอรับขาขึ้น

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการกิจการค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง (BLS) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง 7 เดือนแรก ให้ผลตอบแทนติดลบ 10.06% เผชิญความไม่แน่นอนจากหลากหลายปัจจัย เช่น มาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ, การเมืองในประเทศ, ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงที่รอการแก้ไข, เศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างเต็มที่จากการเมืองขาดเสถียรภาพ ส่งผลให้นักวิเคราะห์ทยอยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ลง

BLS เก็ง SET ปรับฐาน Q3 รับมรสุมศก.-การเมืองก่อนฟื้น แนะกลยุทธ์จัดพอร์ตรอรับขาขึ้น

โดยฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ของ BLS ปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 68 ลงจาก 92 บาทต่อหุ้น เหลือ 82 บาทต่อหุ้น จากงบการเงินครึ่งปีแรก (อัตราการปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้นน้อยลงในเดือน มิ.ย.-ก.ค. ที่ผ่านมา)

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ BLS ประเมินว่าในช่วงไตรมาส 3/68 จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยแตะระดับต่ำสุด ก็จะเห็นการเปรับฐาน โดยมองแนวรับรอบนี้ในโซน 1,150 จุด ก่อนจะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นในไตรมาส 4/68 หากความเสี่ยงทางการเมืองไม่มีความรุนแรง และสามารถหาจุดลงตัวได้

ขณะเดียวกัน มาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีแนวโน้มว่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบเกินกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยใกล้เคียงกับกลุ่มอาเซียนด้วยกัน ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวมีโอกาสที่หุ้นไทยจะค่อย ๆ ฟื้นตัวสู่เป้าหมาย SET Index สิ้นปี 68 ในกรอบ 1,280 จุด อ้างอิงสมมติฐานการเติบโตของกำไร บจ.ที่ 6.6% มาที่ 82 บาท/หุ้น (จากเดิม 90 บาท/หุ้น) และค่า P/E เฉลี่ย 15.7 เท่า

ภายใต้กรอบดังกล่าว แนะนำนักลงทุนใช้จังหวะที่ตลาดปรับฐานทยอยสะสมหุ้น โดยมองว่า หุ้นกลุ่ม "Global Play" ที่มีการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกและมูลค่าหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เช่น กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ผลิตอาหารสัตว์ มีแนวโน้มจะเป็นกลุ่มนำตลาดรอบนี้

ขณะที่หุ้นกลุ่ม "Domestic Play" ยังถูกกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้า กลุ่มที่ถูกกระทบมาก เช่น อสังหาริมทรัพย์, การก่อสร้าง, ไฟแนนซ์เช่าซื้อ, สินเชื่อบุคคล และสื่อมีเดีย ขณะที่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบปานกลางถึงน้อย ได้แก่ ธนาคาร, ร้านสะดวกซื้อ, โรงพยาบาล และท่องเที่ยว

"หุ้นไทยปรับตัวลงแรงจนใกล้เคียงระดับที่เคยเกิดขึ้นช่วงวิกฤตการณ์สำคัญในอดีต เช่น วิกฤตเลห์แมน บราเธอร์ส, วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง และต่ำกว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราจึงประเมินว่า Downside ของตลาดหุ้นไทยมีจำกัด โดยระดับ 1,050 -1,080 จุด มีความเป็นไปได้น้อยที่จะเกิดขึ้นอีก

อย่างไรก็ดี ในส่วนของปัจจัยภายนอกประเทศนั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัว หากอัตราเงินเฟ้อได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประมาณ 1-2 ครั้ง รวม 0.50% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจปรับลดต่อเนื่องในปี 69 ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี และอีก 1 ครั้งในปี 69 สอดคล้องกับแนวโน้มเงินเฟ้อไทยที่ยังอยู่ระดับต่ำที่ประมาณ 1%" นายชัยพร กล่าว

ส่วนประเด็นการเมือง มองเป็นปัจจัยระยะสั้น วันที่ 29 ส.ค.ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา

หากน.ส.แพทองธาร ลาออก และเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเป็นนายชัยเกษม นิติสิริ พรรคเพื่อไทยต้องการยื้อให้นานเพื่อให้พร้อมกับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีผลต่อตลาดหุ้นมากนัก แต่อาจจะย่อตัวบ้างเป็นจังหวะให้สะสม ยกเว้น นายกฯประกาศยุบสภา ซึ่งเห็นว่ามีความเป็นไปได้น้อย แต่หากเกิดขึ้นก็มองว่าตลาดน่าจะมีแรงขายช่วงสั้น หรืออาจจะดีใจที่มีการเลือกตั้งครั้งใหม่

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดจะได้รับผลกระทบเชิงบวกจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ เช่น กลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์ เช่น BTG TFG GFPT และ CPF ซึ่งได้รับประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าที่ลดลง โดยเฉพาะข้าวโพดและถั่วเหลือง ประเมินว่าจะมีผลบวกต่อกำไรเฉลี่ย 13.7% โดย BTG จะได้รับผลบวกสูงสุด 16.49%

ในทางกลับกัน กลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ DELTA ที่มีสัดส่วนรายได้จากตลาดสหรัฐฯ ประมาณ 20-30% แต่ DELTA อาจได้รับแรงสนับสนุนจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Data Center, Cloud และ AI ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง

ขณะที่กลุ่มส่งออกอาหาร เช่น TU และบริษัทลูก คือ ITC ที่มีรายได้จากตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง อาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนภาษี แต่ยังมีโอกาสบรรเทาผลกระทบผ่านการเจรจากับผู้นำเข้าในสหรัฐฯ

ด้านนายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการ นักกลยุทธ์ปัจจัยพื้นฐาน บล.บัวหลวง กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังเข้าสู่โหมด "Reality Check" มีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนทางการเมือง น่าจะเห็นผลกระทบชัดเจนในไตรมาส 3/68 ถึงต้นไตรมาส 4 แต่ก็มองเป็นจังหวะสะสมหุ้นแบบ Selective เมื่อสถานการณ์กลับมาปกติตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นในไตรมาส 4 ต่อเนื่องถึงปีหน้า คาดเป้าหมายดัชนี SET ปี 69 ที่ 1,400-1,450 จุด

การจัดพอร์ต กลยุทธ์ก็เปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อน buy and hold แต่ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงหา new S-Curve ภาพระยะสั้นแนะให้เล๋นรอบมากขึ้น การจัดพอร์ต แบ่งเป็นพอร์ตระยะสั้นและระยะยาว โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยก็ยังมีโอกาสอยู่ โดยเฉพาะหุ้นปันผลสูงและหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ถ้าหาหุ้นพวกนี้ได้จะทำให้เราเพิ่มพอร์ตหุ้นปันผลที่เป็นพอร์ต Inrecurring Income

ขณะที่การเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจไทย เมื่อพิจารณาจากที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เม็ดเงินลงทุน (FDI) เข้ามาในกิจการประเภทดิจิทัล คือ ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนคิดเป็นครึ่งหนึ่งของมูลค่าการลงทุนที่ BOI อนุมัติในแต่ละครั้ง ดังนั้น แนะหุ้นที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ กลุ่มสื่อสารและโรงไฟฟ้า

นอกจากนี้ แนะให้ 2 ธีมหลัก ได้แก่ Earning Play เน้นหุ้นที่กำไรในไตรมาส 2/68 ไม่ต่ำคาดมากนักหรือต่ำกว่าคาดไม่เกิน 10% รายได้ไม่ได้หตตัวแรง หรือหดตัวไม่เกิน 5% แนวโน้มกำไรในไตรมาส 3 เติบโต YoY หรือฟื้นตัว QoQ รวมถึงหุ้นที่ไม่เห็นภาพการปรับตัวกำไรลงแรงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และมีปัจจัยบวกหนุนการฟื้นตัวชัดเจน อาทิ GULF, ADVANC มองภาพเติบโตระยะยาว

ส่วนเทรดดิ้งเห็นภาพยอดขายสินค้าไอทีเด่นๆ ทั้ง COM7, ADVICE นอกจากนี้ ยังมีหุ้นที่รับประโยชน์บาทอ่อนในปีหน้า ได้แก่ DELTA ดีแต่แพง แต่สัดส่วนรายได้ 40% เชื่อมโยงกับเทคโนโลยี AI และ Data Center , ITC ต้นทุนถูกลงจากนำเข้าถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐหนุนกำไร

ส่วนอีกธีมเป็น Global Play เชื่อมกับเศรษฐกิจโลก มองหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี คาดไตรมาส 3/68 ตลาดมีความผันผวนอาจกดดันราคาหุ้นปิโตรเคมีต่อ แต่ระดับ Valuation ถูกมากแล้ว ขณะที่ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ (Spread) อยู่ต่ำกว่าจุดคุ้มทุน ลดความเสี่ยงจากการเกิดซัพพลายใหม่ และช่วยจำกัด downside คาดว่าการฟื้นตัวจะเห็นชัดเจนในไตรมาส 4/68 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หุ้นที่มองว่ามีโอกาสฟื้น สาย HDPE คือ PTTGC , SCC

กลุ่มที่ยังอ่อนแอ ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ครึ่งปีหลังคาดยังไม่ฟื้นตัว เพราะดีมานด์ยังไม่มา ขณะที่หนี้ครัวเรือนสูง แบงก์ไม่ปล่อยกู้ ดังนั้น คาดว่าผู้ประกอบการจะต้องเร่งระบายสต๊อกด้วยการเพิ่มโปรโมชั่นซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่ม และกลุ่มการเงิน แนะเทรดดิ้ง เพราะยังมีความเสี่ยงหนี้เสียสูงขึ้น

ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ BLS ให้น้ำหนักการลงทุน "ตราสารหนี้" ในระดับสูงกว่าปกติที่ประมาณ 56% (จากระดับปกติไม่เกิน 20%) ในการจัดพอร์ตลงทุน เพื่อรับประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยลดลง และสามารถควบคุมความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้ดี ขณะที่ให้น้ำหนักในหุ้น 48% และทองคำ 6% ซึ่งการลงทุนในหุ้นแนะกระจายไปตลาดต่างประเทศ ได้แก่ หุ้นสหรัฐฯ 11%, ญี่ปุ่น 4%, จีน (เน้นกลุ่มเทคโนโลยี) 7%, เวียดนาม 7%, อินเดีย 4% และไทย 5%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ