เมื่อเวลา 10.08 น.
PTTGC บวก 9.63% เพิ่มขึ้น 2.35 บาท มาที่ 26.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 984.01 ล้านบาท
SCC บวก 4.63% เพิ่มขึ้น 10.00 บาท มาที่ 226.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 986.84 ล้านบาท
IVL บวก 4.19% เพิ่มขึ้น 0.90 บาท มาที่ 22.40 บาท มูลค่าการซื้อขาย 202.10 ล้านบาท
IRPC บวก 10.00% เพิ่มขึ้น 0.10 บาท มาที่ 1.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 119.55 ล้านบาท
บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ปิโตรเคมีเกาหลี Cut Run ครั้งใหญ่ กว่า 25% ของกำลังการผลิตทั้งประเทศ โดยบริษัทปิโตรเคมีรายใหญ่ของเกาหลีใต้ 10 ราย ตกลงเข้าร่วมแผนการปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมที่มีการนำเสนอโดยรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาการผลิตเกินและกำไรต่ำในอุตสาหกรรม บริษัทเหล่านี้จะลดกำลังการผลิตคลีฟ (naphtha-cracking) ลง 2.73.7 ล้านตันต่อปี ซึ่งคิดเป็นถึง ราว 25% ของกำลังการผลิตรวมของประเทศ (ประมาณ 14.7 ล้านตัน) โดยแต่ละบริษัทต้อง ยื่นแผนการดำเนินงานโดยละเอียด (implementation outline) ภายใน สิ้นปีนี้ (31 ธ.ค.)
หุ้นไทยที่น่าจะได้ประโยชน์จากการที่บริษัทปิโตรเคมีเกาหลีใต้ลดกำลังการผลิตและปรับโครงสร้าง ได้แก่ บริษัทปิโตรเคมีไทยที่มีศักยภาพในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจากการลดกำลังการผลิตของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะบริษัทที่มีฐานการผลิตหรือขยายกำลังการผลิตในไทยและอาเซียน เช่น SCG Chemicals (SCC) และ PTT Global Chemical (PTTGC) และมีการผลิตสารเคมีมูลค่าสูงและผลิตภัณฑ์ที่เป็นไปตามแนวโน้มความต้องการใหม่ เช่น เคมีภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบจากก๊าซ (ethylene, propylene) โดย SCC และ PTTGC มีแผนปรับเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อเพิ่มความสามารถแข่งขัน
การลดกำลังการผลิตของเกาหลี นี้คิดเป็นประมาณ 10 % ของกำลังการผลิตในเอเชีย ซึงเรามองว่าจะคงยังมี Momentum ของหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมีต่อไปได้ เนื่องจากช่วงไตรมาส 3 ของทุกปีจะเป็น Season Demand ของปิโตรเคมี
SCC ซื้อเก็งกำไร ราคาเป้าหมาย 238 บาท
PTTGC คงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมายที่ 22.70 บาท
ขณะที่ บล.ลิเบอเรเตอร์ ระบุว่า บริษัทปิโตรเคมีในเกาหลีใต้ 10 แห่งตัดสินใจจะลดกำลังการผลิตนาฟทาลง 2.7-3.7 ล้านตัน หรือคิดเป็น 25% จากกำลังการผลิตทั้งประเทศรวม 14.7 ล้านตัน เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ประสบปัญหาอัตรากำไรที่ตกต่ำ และประสิทธิภาพการผลิตต่ำ จึงต้องร่วมกันลดกำลังการผลิตเพื่อให้บริษัทอยู่รอด ซึ่งทั้งหมดต้องยื่นแผนการปรับลดกำลังการผลิตให้ทางการภายในสิ้นปีนี้
นโยบาย China Involution ของจีนจะเริ่มดำเนินการจากปัญหาที่เกิดขึ้นเช่นกัน ล่าสุดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯของจีนซึ่งจะปรับปรุงทุก ๆ 5 ปีเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประเทศเดินหน้าก็กำลังเข้ามาดูแลอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเช่นกัน ล่าสุดกำลังพิจารณาดูกว่าโรงงานที่มีอายุมากกว่า 20 ปีว่ายังคงมีประสิทธิภาพการผลิตว่าแข่งขันได้หรือไม่ อีกทั้งยังรองรับการลดคาร์บอนได้หรือไม่ด้วย
ขณะที่โรงงานอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไปก็มีแนวโน้มจะถูกสั่งให้ปิดตัวลง ซึ่งคาดว่าจะทำให้กำลังการผลิตทยอยลดลง และช่วยให้ปัญหาอุปทานล้นตลาดลดลงได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการออกกฎหมายใหม่ออกมา โรงงานที่อยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิตก็จะเร่งดำเนินการให้เสร็จก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้เช่นกัน
จากการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมพบว่ากำลังการผลิตของเอทิลีนและโพรพิลีนของโลกอยู่ที่ 315 ล้านตัน การลดลงของเกาหลีที่ 3.7 ล้านตันคิดเป็นเพียง 1% ของกำลังการผลิตโลก แต่หากคิดพิจารณาเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือก็คิดเป็น 3% เท่านั้น อาจดูไม่มาก แต่สิ่งที่มองบวกต่ออุตสาหกรรมคือการลดกำลังการผลิตจะช่วยให้ราคาผลิตภัณฑ์มีเสถียรภาพมากขึ้น และไม่เกิดปัญหาอุปทานล้นตลาดอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินงานกลุ่มนี้ดีขึ้นตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นวานนี้ปรับตัวขึ้นแรงจนส่วน upside จำกัดมากขึ้น และคงต้องรอดูต่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะช่วยให้อุตสาหกรรมดีขึ้นอย่างที่คาดได้หรือไม่ โดยเรายังชอบ PTTGC และ SCC
- PTTGC ปัญหาต่างๆ แก้ไขแล้วตามลำดับ รอกระบวนการทำ Asset monetization คาดจะเห็นภายในสิ้นปีนี้ถึงปีหน้า
- SCC การดำเนินงานจะทยอยดีขึ้นจากต้นทุนนาฟทาที่ลดลง(สอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบ) ส่วนกลุ่มซีเมนต์ได้ผลบวกจากการปรับราคาขายขึ้น
- IVL แม้คาดจะได้ผลบวกจากปัจจัยดังกล่าวเช่นกัน แต่คาดไตรมาส 3/68 จะมีการหยุดซ่อมทำให้การดำเนินงานยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าว
เชิงกลยุทธ์ ราคาหุ้นตึงมากแล้ว แนะรอย่อตัวก่อนและรอมาตรการจากจีนที่คาดจะมีประกาศช่วงเดือน ต.ค.นี้