
โบรกเกอร์เชียร์ "ซื้อ" หุ้น TFG หรือ บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จากแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี 68 ยังเติบโตแข็งแกร่ง ตามปริมาณการส่งออกไก่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวลดลง พร้อมรับอานิสงส์จากการที่ 12 ผู้ผลิตรายใหญ่ทำ MOU ไม่ขยายพ่อแม่พันธุ์สุกรช่วยคุมอุปทานในตลาด รวมถึงธุรกิจร้านค้าปลีกเติบโตก้าวกระโดดตามการขยายสาขาต่อเนื่อง เตรียมปั้นเป็นธุรกิจเรือธงและ Spin-off เข้าตลาดหุ้นใน 3 ปีข้างหน้า
ราคาหุ้น TFG ช่วงบ่ายวันนี้เคลื่อนไหวที่ 5.55 บาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
เคจีไอ Outperform 7.35
ยูโอบีเคย์เฮียน ซื้อ 7.20
ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 6.80
ไอร่า ซื้อ 6.70
ทิสโก้ ซื้อ 6.50
หยวนต้า ซื้อ 6.50
ทรีนีตี้ ซื้อ 6.50
บัวหลวง ซื้อ 5.50
นักวิเคราะห์จาก บล.ไอร่า มองบวก TFG จากการประชุมนักวิเคราะห์ จากแนวโน้มผลประกอบการธุรกิจหมูและไก่จะยังโตได้จากปริมาณขาย และยังได้รับประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำ รวมทั้งการทำ MOU ระหว่าง 12 ผู้ผลิตรายใหญ่ที่จะไม่ขยายจำนวนพ่อแม่พันธุ์สุกรคาดจะเป็นผลดีจากอุปทานหมูในประเทศที่ไม่เพิ่มในอัตราที่เร็วเกินไป และธุรกิจ Retail เติบโตและขยายตัวดี พร้อมผลักดันเป็นธุรกิจเรือธงในอนาคต
สำหรับราคาหมูหน้าฟาร์มในประเทศที่ย่อตัวในช่วงที่ผ่านมา เกิดขึ้นกับหมูฟาร์มที่มีน้ำหนักถึงเกณฑ์ถูกขายออกสู่ตลาด ขณะที่ราคาเนื้อหมูยังคงทรงตัว ซึ่ง TFG มีการเชือดหมูเอง และขายผ่านช่องทางร้านค้าของตัวเอง จึงได้รับผลกระทบน้อย สำหรับธุรกิจหมูในเวียดนาม ราคาหมูลดลงจากโรค ASF ระบาด จึงมีการปล่อยหมูออกสู่ตลาดเร็วเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดโรค ทั้งนี้ คาดว่าราคาหมูทั้งไทยและเวียดนามที่ลดลงเป็นผลระยะสั้นจากปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้นพร้อม ๆ กับปัจจัยทางฤดูกาล หลังจากนั้นจะฟื้นตัวมาอยู่ในระดับเหมาะสม
ส่วนธุรกิจ Retail ของ TFG ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 500 สาขา SSSG (Same-store sales growth) เดือนล่าสุดเท่ากับ 17% โดยการขยายสาขามีเป้าหมาย 620 สาขาภายในปี 68 เร่งตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปีเพิ่มจากเป้าเดิมที่ 600 สาขา โดย TFG มีพื้นที่รองรับไว้แล้วกว่า 640 สาขา โดยร้านค้าปลีก 1 สาขาใช้เงินลงทุนราว 10 ล้านบาท ระยะเวลาคืนทุนราว 3-4 เดือน การขยายร้านค้าปลีกของ TFG เป็นกลยุทธ์หลักที่จะผลักดันตัวธุรกิจขึ้นมาเป็นธุรกิจเรือธง และ Spin off เข้าตลาดหลักทรัพย์ภายใน 3 ปี
ขณะเดียวกัน TFG จะเริ่มผลิตอาหารสัตว์เองแทนการจ้างผลิตที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งจะช่วยให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้นพร้อมกับต้นทุนผลิตที่ลดลง
นอกจากนี้ สัดส่วนการนำหุ้น TFG ไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันมาร์จิ้น เรามองเป็นปัจจัยกดดันมูลค่า ปัจจุบันมีสัดส่วนเหลือ 19% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ลดลงจาก 44% ณ ต้นปี 68 โดยลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้ที่จะลดลงเหลือ 0% ดังนั้น แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายปี 69 เท่ากับ 6.70 บาท
ขณะที่บทวิเคราะห์จาก บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ธุรกิจร้านขายปลีกของ TFG ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเติบโต โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเป็น 40% ในปี 68-69 (จาก 36% ใน H1/68) ขณะที่ ยอดขายต่อร้านเดิม (SSS) เติบโตถึง 17% ช่วง QTD (เทียบกับ 18% ในไตรมาส 3/67 และไตรมาส 2/68)
บริษัทเชื่อมั่นว่าร้านขายปลีก "Thaifoods Fresh Market (TFFM)" จะเร่งเปิดสาขาเพิ่มขึ้นใน H2/68 โดยคาดว่าจะมี 600-620 สาขาในปี 68 (เทียบกับจำนวนสาขา 500/462 ในช่วง QTD/ H1/68) จากนั้นเป้าปี 69 ก็จะปรับเพิ่มเป็น 850 สาขา (จากเป้าเดิม 750 สาขา) สูงกว่าสมมติฐานเชิงอนุรักษ์นิยมของเราอยู่ที่ 500 สาขาในปี 68 และ 600 สาขาในปี 69 นอกจากนั้น TFG มีแผนที่จะแยกธุรกิจ TFFM ออกมา โดยคาดว่าจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปี 70-71
เราคาดว่ารายได้จากการขายของ TFG ใน H2/68 จะเติบโต HoH จากผลการดำเนินงานธุรกิจร้านขายปลีกแข็งแกร่งและกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายโตราว 15% ขณะที่คาดว่าราคาไก่ส่งออกจะยังแข็งแกร่งใน H2/68 ด้วยอุปสงค์จากสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นดีต่อเนื่อง แต่ปริมาณอาจลดลง HoH จากคำสั่งห้ามส่งออกไก่จากจีนในเดือน ส.ค.68 และเป็นฤดูกาลส่งออกต่ำในไตรมาส 4/68
ทางด้านต้นทุนอาหารสัตว์น่าจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีตามราคาถั่วเหลืองและข้าวโพดลดลง แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) โดยรวมอาจจะอ่อนตัวลง HoH หลัก ๆ มาจาก GPM ของสุกรลดลง มองไปในอนาคต TFG มีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตสุกรในเวียดนามขึ้นอีกราว 15-20% ในปี 69
ด้วยผลการดำเนินงานใน H1/68 ดีเกินคาดและการขยายธุรกิจร้านขายปลีกเชิงรุกได้ผลดีด้วย เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรของเราขึ้นราว 28%/14% ในปี 68-69 บนสมมติฐานที่: 1) ปรับเพิ่มรายได้จากยอดขายโต 2% และ4% หลัก ๆ มาจากจำนวนร้านขายปลีกที่เพิ่มขึ้นที่ 620/800 สาขา (จาก 500/600 สาขา) 2) ปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ขึ้นที่ 20.2%/15.7% (จาก 18.1%/15.3%) และ 3) ปรับลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลงราว 15% ในแต่ละปีจากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (interest-bearing debt) ลดลง
อิงจากกำไรใหม่เราและ re-rating PE ของ TFG ขึ้นที่ 7.0x (ค่าเฉลี่ยในอดีต) จาก 5.8x (-1S.D) สะท้อนถึงแนวโน้มกำไรเป็นบวก โดยเราปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย H1/69 ใหม่ที่ 7.35 บาท (จากเดิม 5.00 บาท) นอกจากนี้ เราปรับเพิ่มคำแนะนำ TFG ขึ้นเป็น "ซื้อ" จาก "ถือ" ด้วย
ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผู้บริหาร TFG ยังคงมั่นใจเป้าหมายรายได้ปีนี้ 7.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 10-15% YoY โดยธุรกิจค้าปลีกเริ่มเป็นธุรกิจหลักมีสัดส่วนรายได้มากที่สุด 36% ในไตรมาส 2/68 จากการขยายสาขา และมีแผนนำเข้าตลาดหุ้นในอีก 2-3 ปีนี้ สำหรับธุรกิจไก่และสุกรยังเติบโตต่อเนื่องจากราคาปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาสุกรจะลดลงชั่วคราวในไตรมาส 3/68 และยังได้ประโยชน์จากต้นทุนอาหารสัตว์ที่ลดลง โดยเฉพาะกากถั่วเหลืองและข้าวโพดอาหารสัตว์
แนวโน้มราคาสุกรในไทยที่ลดลงช่วงที่ผ่านมาเกิดจากปัจจัยชั่วคราว โดย 1) ประเทศไทย ราคาหมูเป็นที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ฝนตกทำให้การบริโภคลดลง และผู้เล่นในตลาด (โรงเชือด) ที่เคยรับซื้อหมูเป็นมีจำนวนลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ราคาเนื้อหมูหน้าเขียงไม่ได้ลดลงตามมากนัก TFG ได้รับผลกระทบน้อย เพราะเชือดเองและขายผ่านช่องทางของตัวเองกว่า 80% คาดว่าราคาหมูเป็นได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะค่อยๆ ฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง โดยอาจอยู่ในกรอบ 6575 บาท
2) ประเทศเวียดนาม สถานการณ์โรค ASF กลับมาระบาดอีกครั้ง มีพื้นที่ระบาด 70% ของพื้นที่ทั้งหมด ทำให้ราคาย่อตัวลงมาต่ำกว่า 60,000 ดอง แต่คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 34 เดือนในการฟื้นตัวกลับไปสู่ระดับปกติที่ 65,000-70,000 ดอง
ขณะที่โครงสร้างตลาดและการขยายกำลังการผลิตสุกร ผู้เล่นรายใหญ่ในไทย (12 ราย) มีการลงนาม MOU ที่จะไม่ขยายกำลังการผลิตแม่พันธุ์ ซึ่งจะช่วยควบคุมอุปทานในระยะยาว โดยตลาดเปลี่ยนไปจากเดิมที่เน้นขายหมูมีชีวิต มาเป็นการเชือดและแปรรูปเองมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นรายย่อยที่ไม่มีโรงเชือดลดบทบาทลง สำหรับ TFG จะเพิ่มปริมาณสุกรจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการสวิทช์จากการขายลูกหมูมาเลี้ยงเอง
ธุรกิจไก่แนวโน้มการส่งออกยังคงแข็งแกร่ง บริษัทคาดราคาเฉลี่ยไก่ปีนี้อยู่ที่ระดับ 40-41 บาท/กก. โดยเฉพาะตลาดยุโรปและญี่ปุ่นที่มีความต้องการสูง แม้ตลาดจีนจะชะลอตัวชั่วคราวจากประเด็นไข้หวัดนกในบราซิล แต่คาดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในไม่ช้า เป้าหมายการส่งออก TFG ทั้งปีที่ 70,000 ตัน มีแนวโน้มว่าจะทำได้ และอาจสูงถึงเกือบ 100,000 ตัน โดยราคาส่งออกไปยุโรปยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ราคาส่งออกไปญี่ปุ่นก็ถือว่าค่อนข้างดี
บริษัทตั้งเป้าสาขาปีนี้ที่ 600 สาขา โดยปัจจุบันอยู่ที่ 500 สาขา (ปี 67 อยู่ที่ 401 สาขา) และปีหน้าเป้าหมาย 750 สาขา ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในช่วง ก.ค.-ส.ค.68 เติบโตประมาณ 17% และบริษัทมีแผนเพิ่มรายได้อื่นๆ จาก 1% เป็น 2% ของยอดขาย โดยจะเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่ไม่ใช่ของ TFG จาก 25% เป็น 30-35% ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งยอดขายและอัตรากำไรโดยรวม และมีแผนนำธุรกิจค้าปลีกเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว และอยู่ในกระบวนการเตรียมความพร้อม คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี (ปี 70-71) โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 5 หมื่นล้านบาทก่อนเข้าตลาดฯ
ผลประกอบการ H1/68 คิดเป็น 57% ของทั้งปี และคาดครึ่งปีหลังจะอ่อนตัวจากครึ่งปีแรกจากช่วง Low Season ฤดูฝน และช่วงเทศกาลกินเจในไตรมาส 4 คาดราคาหมูและไก่จะอ่อนตัว เราคงประมาณการเดิม โดยคาดว่ากำไรปีนี้จะเติบโต 155% แต่ปีถัดไปจะลดลง 8% จากปัจจัยดังต่อไปนี้:
ธุรกิจสุกร เราคาดว่ารายได้ปี 68 จะเพิ่มขึ้น 7% แต่ปีถัดไปคาดว่าจะลดลง 7% เนื่องจากคาดว่าอุปทาน (supply) จะเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติหลังจากสถานการณ์โรคระบาด ASF เริ่มดีขึ้น
ธุรกิจไก่ คาดว่าจะเติบโตขึ้นจากการที่บริษัทเน้นการจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าการส่งออกในปีนี้จะอยู่ที่ 70,000 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่ส่งออกไปญี่ปุ่น จีน และกลุ่มประเทศในยุโรปเป็นหลัก
ร้านค้าปลีก คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 550 สาขา และปีถัดไปจะเพิ่มขึ้นอีก 50 สาขา (ณ สิ้นปี 67 มีจำนวน 401 สาขา)
นอกจากนี้ เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มต้นทุนอาหารสัตว์ที่ลดลงตามผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งกากถั่วเหลืองและข้าวโพดอาหารสัตว์ และคาดว่าในปีถัดไปอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงจากราคาสุกรที่ปรับลดลงและธุรกิจร้านค้า (shop) ที่มีอัตรากำไรต่ำกว่าเพิ่มขึ้น
ยังคงคำแนะนำยัง "ซื้อ" หุ้น TFG โดยมีราคาเป้าหมายอยู่ที่ 6.50 บาท คาดว่าผลประกอบการในปี 68 จะเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจสุกรและร้านค้าปลีก แต่สำหรับปี 69 คาดว่าผลประกอบการจะลดลง เนื่องจากปริมาณอุปทาน (supply) เริ่มกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติ
ราคาเป้าหมายที่ 6.50 บาท อ้างอิงจากค่าเฉลี่ย Historical PER -0.5STD ที่ 6 เท่า ขณะที่ระดับราคาปัจจุบันอยู่ที่ PER26F ที่ 5.4 เท่า และคาดการณ์ Dividend Yield ในปี 69 จะอยู่ในระดับสูงที่ 8.9% ความเสี่ยงที่ควรระวัง การระบาดของโรค ต้นทุนอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้น