
ประเด็น "การเมือง" ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทย ในระหว่างทางที่ "ผลลัพธ์" ยังไม่สะเด็ดน้ำ มักจะมีความผันผวน หรือแรงกระเพื่อมมากกว่าเหตุการณ์ปกติทั่วไป
เนื่องจาก ข้อมูลข่าวสาร ความคาดหวัง และ ความไม่แน่นอน มักมีผลต่อ "Sentiment" ของนักลงทุนมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้น การลงทุนในช่วงนี้จึงควรใช้กลยุทธ์ที่ระมัดระวังและรอบคอบเป็นพิเศษ
หลักที่มักใช้ในการลงทุนช่วงที่มี "การเมือง"เข้ามาแทรก สามารถแบ่งได้ดังนี้
1.เลือกหุ้นที่มี "ภูมิคุ้มกัน" ทางธุรกิจ โดยเฉพาะ ธุรกิจที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน (Defensive) อาทิ หุ้นโรงพยาบาล, สาธารณูปโภค, ไฟฟ้า, โทรคมนาคม
รวมถึงหุ้นที่มีแหล่งที่มาของรายได้ที่มั่นคง ไม่ขึ้นลงตามประเด็นการเมือง เช่น กอง REIT, กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังหมายรวมถึง บริษัทที่มีตลาดส่งออก ลดการพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศ เป็นต้น
2.กระจายความเสี่ยง (Diversification) จากการมีตลาดหุ้นมีความผันผวน ควรจะลงทุนหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่กระจุกตัว เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่มากเกินไป หากลงในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยสามารถ ใช้กองทุนรวม หรือ ETF เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังสามารถกระจายไปลงใน สินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ พันธบัตร, ทองคำ ฯลฯ
3.ให้เลือกลงทุนหุ้น โดยใช้เกณฑ์ของพื้นฐานควบคู่กับ Valuation เลือกบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแรง หนี้ต่ำ กระแสเงินสดดี รวมถึงเป็นหุ้นที่มีการอัตราการจ่ายเงินปันผลค่อนข้างดี และ หลีกเลี่ยงหุ้นเก็งกำไรที่ราคาผันผวนตามข่าวการเมือง
4. หาจังหวะการลงทุน โดยเฉพาะหากสถานการณ์ยังไม่ชัด สามารถทยอยลงทุน (DCA) แทนการลงทีเดียว
นอกจากนี้ ควรเก็บเงินสดบางส่วนไว้รอโอกาสช่วงตลาดปรับฐาน
5. ติดตามข้อมูลข่าวสารใกล้ชิด เนื่องจากเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน เช่น การชุมนุม คำตัดสินของศาล จะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนทันที รวมถึงนโยบายใหม่ ๆ ในด้านเศรษฐกิจอาจกระทบอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น ก่อสร้าง, พลังงาน, สุขภาพ ฯลฯ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ให้เน้นหุ้นมั่นคง มีปันผล อาทิ กอง REIT, สาธารณูปโภค (Utilities) และ โทรคมนาคม( Telecom) โดยเน้น หุ้น Defensive Growth อาทิ Healthcare และ Consumer
ทั้งนี้ นักลงทุนควรเลือกหุ้นที่แข็งแรงและจำเป็นต้องกระจายพอร์ต ลดการเก็งกำไร และทยอยลงทุน พร้อมถือสินทรัพย์ปลอดภัยควบคู่ จะช่วยให้ผ่านช่วงการเมืองผันผวนได้อย่างมั่นคง
ธิติ ภัทรยลรดี