บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุถึงกลุ่มรับเหมาก่อสร้างว่า กำไรรวมในช่วงครึ่งปีแรก ปี68 (1H68) ของหุ้นในกลุ่มรับเหมา ฯ ที่เราศึกษาอยู่ออกมาน่าประทับใจจากกำไรหลักฟื้นตัวดี รวมถึงเงินปันผลรับ ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมแข็งแกร่งและมีกำไรพิเศษบางรายการ แม้ว่าสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอนในปัจจุบันจะส่งผลให้การลงนามโครงการใหม่ของภาครัฐล่าช้าไปในปี 2569 แต่ก็ไม่น่าจะกระทบต่อกำไรที่จะเติบโตปี 2568F และปี 2569F ของทั้งบมจ.ช.การช่าง [CK] และ บมจ.สเตคอน กรุ๊ป [STECON] ซึ่งต่างก็มี backlog มูลค่าสูงราว 2 แสนล้านบาท และหนึ่งแสนล้านบาท ตามลำดับ
ในไตรมาส 3/68 เราคาดกำไรจะเป็นพีคไตรมาสของ CK ในปีนี้ จากเงินปันผลรับและกำไรจากการขายเงินลงทุนก้อนใหญ่ ซึ่งจะดันกำไรทั้งปีเป็นจุดสูงสุดใหม่ แต่ในทางกลับกัน ข่าวดีส่วนใหญ่ของ STECON ได้รับรู้ไปแล้วใน 1H68 ดังนั้น กำไร 2H68F อาจลดลง HoH ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" CK ราคาเป้าหมาย 20.50 บาท และคงคำแนะนำ "ถือ" STECON ราคาเป้าหมาย 8.00 บาท ขณะที่ เราให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มรับเหมาก่อสร้า "เท่ากับตลาดฯ"
การลงนามโครงการภาครัฐใหม่ ๆ มีโอกาสจะถูกเลื่อนไป ช่วง YTD ทาง CK ยังไม่ได้ลงนามในสัญญางานใหม่ใด ๆ ทำให้ backlog ณ สิ้นไตรมาส 2/68 ลดลงเหลือ 1.92 แสนล้านบาท และคาดว่าจะลดลงเหลือ 1.70 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2568 หากไม่มีการเซ็นสัญญาใหม่เข้ามา ตอนแรก CK ตั้งเป้าจะได้งานภาครัฐหลายโครงการ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง 2 โครงการมูลค่ารวม 1.50 หมื่นล้านบาท, โครงการทางพิเศษ M5 มูลค่า 2.50 หมื่นล้านบาท และทางด่วนยกระดับมูลค่า 3.50 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดประมูลในปีนี้
แต่ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องใช้เวลา ดังนั้น การประมูลโครงการใหม่ ๆ ของภาครัฐจึงไม่น่าจะเริ่มได้ในระยะใกล้นี้
ส่วน STECON ได้ลงนามในสัญญางานใหม่ ๆ ไปแล้วมูลค่ารวม 2.60 หมื่นล้านบาท (52% ของเป้าทั้งปีที่ 5.00 หมื่นลบ.) ใน 1H68 ส่วนใหญ่มาจากโครงการภาคเอกชนและทางด่วน M7 นอกจากนั้น STECON ยังคงมีโอกาสได้งานจากภาคเอกชนอีกหลายโครงการ เช่น พลังงานหมุนเวียน, ดาต้าเซ็นเตอร์, อาคารพาณิชย์ เป็นต้น ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ และอาจดันให้มูลค่าสัญญางานใหม่สูงถึง 5.00 หมื่นล้านบาทได้ แต่หากไม่รวมโครงการศูนย์การบินอู่ตะเภาของ UTA (บริษัทร่วมทุน) มูลค่า 2.70 หมื่นล้านบาทแล้ว backlog ของ STECON อาจลดลงเหลือราวหนึ่งแสนล้านบาท จากปัจจุบันที่ 1.27 แสนล้านบาท ซึ่งก็เพียงพอเพื่อรองรับรายได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า
เราคาดว่ากำไรไตรมาส 3/68 อาจเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ผลักดันจาก 1.เงินปันผลรับสูงราว 232 ล้านบาท จาก TTW Plc 2. กำไรจากการขายเงินลงทุนในโครงการเขื่อนหลวงพระบาง มูลค่าราว 700-800 ล้านบาท (ก่อนภาษี) และ 3 ส่วนแบ่งกำไรจากบมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ [BEM] และ บมจ.ซีเค พาวเวอร์[CKP] แข็งแกร่งเพราะเป็นช่วง high season ของธุรกิจ โดยกำไรไตรมาส 3/68F ของ CKP น่าจะดีเป็นประวัติกาลจากฤดูฝนซึ่งมาเร็วกว่าปกติ อีกทั้งยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนบนเงินกู้ USD และดอกเบี้ที่ยจ่ายมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ เราประเมินกำไรปกติและกำไรสุทธิปี 2568F จะโตก้าวกระโดด 64% และ 22% YoY ตามลำดับ โดยที่ กำไร 1H68 คิดเป็น 65% ของประมาณการกำไรหลักทั้งปีที่ 1.77 พันล้านบาท แล้ว ส่วนรายได้และกำไรปกติปีหน้าอาจยังโตอีกราว 10% และ 16% YoY ตามลำดับ จาก backlog จะทำรายได้ต่อเนื่องไปอีก 5-6 ปีข้างหน้า
กำไร 1H68 ของ STECON น่าประทับใจนอกจากธุรกิจหลักแล้ว ยังมาจากเงินปันผลรับของบมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ที่ 222 ลบ., ค่าเคลมประกันโครงการป้องกันน้ำท่วมหนองบอน 400 ล้านบาท และไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมที่ดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู/สีเหลืองที่เคยขาดทุนกว่าหนึ่งร้อยลบ.ต่อไตรมาส มองไปใน 2H68F เราคาดกำไรจะมาจากธุรกิจหลักเป็นหลักและกำไรก็น่าจะลดลงมาก HoH ด้วย เพราะ STECON อยู่ในช่วงการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ อย่าง ดาต้าเซ็นเตอร์, พลังงานสะอาด, การบริหารจัดการน้ำ, ธุรกิจโลจิสติกส์ ฯลฯ ซึ่งน่าจะมีค่าใช้จ่ายพิเศษบางส่วนในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ ดังนั้น เราประเมินกำไรสุทธิปี 2568F ที่ 1.20 พันล้านบาท (ทำได้แล้ว 71% ใน 1H68) ขณะที่ คาดกำไรหลักที่ 846 ล้านบาท และจะโต 15% YoY ที่ 975 ล้านบาทในปีหน้า
การได้รัฐบาลใหม่ด้วยความรวดเร็วเป็นปัจจัยบวกต่อภาพในระยะสั้น แม้โครงการรัฐอาจมีแววเลื่อนไปปีหน้า แต่กำไรรวมน่าจะดีต่อเนื่องจาก backlog แข็งแกร่ง ดังนั้น เราปรับ PE ที่ใช้ในการคำนวณเป้าราคาขึ้นระดับนึง ซึ้งเป้าราคาใหม่ของ CK อยู่ที่ 20.50 บาท บน PE ที่18เท่า (-1SD) เพิ่มจากเดิมที่ 15เท่า (-1.5SD) บน EPS (จากธุรกิจหลัก) เฉลี่ยปี 2568F-2569F เรายังแนะนำ ซื้อ CK ในขณะเราแนะนำ ถือ STECON ที่เป้าราคาใหม่อยู่ที่ 8 บาท โดยธุรกิจหลักอยู่ที่ 6 บาท บน 11 เท่าPE (-1.5SD) และ 2.00 บาทจากการลงทุนใน GULF เราให้น้ำหนักลงทุน "เท่ากับตลาดฯ" เรามองว่าหุ้นนกลุ่มรับเหมา ฯ อาจเผชิญความผันผวนในระยะสั้นจากข่าวรายวัน