"ธงชัย บุศราพันธ์' ส่งไม้ต่อ Frank Fung ขับเคลื่อน NOBLE ปรับโมเดลรุกหนักตลาดต่างชาติ เน้น Asset Light-ลดหนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 10, 2025 13:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายแฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ [NOBLE] เปิดใจชี้แจงจุดประสงค์ทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วนโดยสมัครใจ (Voluntary Partial Tender Offer) หุ้น NOBLE สูงสุด 205,412,054 หุ้น คิดเป็น 15% ในราคา 2.32 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 476 ล้านบาท โดยทำธุรกรรมทางอ้อมผ่าน Raffles Nominees (Pte) Limited (Raffles) ซึ่งจะทำให้ Raffles เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น NOBLE เป็นสูงสุดไม่เกิน 471,934,231 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 34.46% เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 จากปัจจุบันถือหุ้นในสัดส่วน 19.46% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมด ถือเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2

ทั้งนี้ หลังจาก Raffles ทำธุรกรรมการเสนอซื้อหุ้นเสร็จสิ้นแล้วจะมีการปรับตำแหน่งการบริหารงานใหม่ไนช่วงกลางปี 69 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างองคิกรเพื่อเตรียมความพร้อม

ธุรกรรมครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านการบริหารงานของ NOBLE จากรุ่นสู่รุ่น เพื่อเข้าไปมีบทบาทเดินหน้าขับเคลื่อน NOBLE อย่างเต็มที่ จากปัจจุบันบทบาทหลักเป็นของนายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม NOBLE ซึ่งวางรากฐานของบริษัทไว้แล้ว และได้ร่วมทำงานกันมากว่า 8 ปี จากนี้ไปนายธงชัย จะเริ่มลดบทบาทในการบริหารลง แต่ยังคอยช่วยเหลือและแนะนำการทำงานใน NOBLE อยู่เบื้องหลัง

นายแฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง กล่าวว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในระยะต่อไปของ NOBLE จะเน้นการขยายตลาดลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น ซึ่งเขามีเครือข่ายและมีความชำนาญในด้านตลาดลูกค้าต่างชาติอยู่แล้ว ทำให้ปัจจุบันทำให้ NOBLE เป็นหนึ่งในผู้นำยอดขายจากลูกค้าต่างชาติ โดยมียอดขายจากลูกค้าต่างชาติมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมด

ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยถือว่ายังมีความน่าสนใจในสายตาชาวต่างชาติ จากราคาที่เหมาะสม และอยู่ในทำเลที่ตั้งที่ดี เชื่อมต่อการเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ได้ง่าย และมีความปลอดภัย ปัจจุบันจะเห็นว่ากลุ่มลูกค้าอินเดีย รัสเซีย และตะวันออกกลาง ให้ความสนใจเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยมากขึ้น จากเดิมที่เป็นลูกค้าจีน ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยยังเติบโตได้ดี

แต่การดำเนินกลยุทธ์ในระยะข้างหน้าของ NOBLE จะไม่เน้นการลงทุนสูงมาก โดยหันไปทำธุรกิจในโมเดล Asset Light มากขึ้น เพื่อบริหารจัดการด้านฐานะการเงินในมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม NOBLE กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านการบริหารงานของ NOBLE จากรุ่นสู่รุ่น ได้มีการหารือเรื่องดังกล่าวกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ซึ่งทีมกรรมการและผู้บริหารทุกคนทราบกันดี และเป็นการวางแผนในระยะยาวร่วมกัน จากทีมงานที่ได้ทำงานกันมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งตนเองจะเริ่มลดบทบาทการบริหารงานหลักลง มาช่วยสนับสนุนและแนะนำนายแฟรงค์ และทีมงานรุ่นใหม่ๆที่จะเข้ามาทำงาน ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างองค์กรในขณะนี้ และกลางปี 69 จะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งการบริหารที่ชัดเจน

"การส่งไม้ต่อควรจะเริ่มต้นทำในช่วงที่บริษัทมีความแข็งแรง ผมยังคงมีความสามารถในการช่วยเหลือ ประคับประคอได้อยู่ และควรจะค่อยๆทำให้มีระบบ เพื่อไม่ให้เกิดความสะดุดในการดำเนินงานในทุกภาคส่วน ทั้งพนักงาน พันธมิตร สถาบันการเงิน เป็นต้น เพื่อจะสร้างความแข็งแรงให้บริษัทต่อไปในอนาคต" นายธงชัย กล่าว

แม้ว่าตนเองจะเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 หลังธุรกรรมของนายแฟรงค์เสร็จสิ้น จากปัจจุบันที่เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ตนเองมีความตั้งใจจะผลักดันให้ NOBLE เป็นสถาบันที่จะสามารถเติบโตได้อนาคต และสามารถส่งต่อ รวมถึงการถ่ายทอดงานจากรุ่นสู่รุ่นด้วย และช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงที่ราบรื่นที่สุดตั้งแต่ทำงานร่วมกันมา 8 ปี จากการมีโครงการใหม่ที่จะทยอยส่งมอบอย่างต่อเนื่อง และยืนยันว่าจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ต่อไป โดยไม่มีความประสงค์ที่จะขายหุ้นทั้งหมดออกไป และยังดำรงตำแหน่งต่างๆในช่วยสนุน NOBLE ต่อไปอย่างน้อย 3-4 ปีจากนี้

"ก็เป็นการ Step Down ด้วยอายุและวัยของผม แต่ผมก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิม และจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ จนไม่มีรอยต่อถึงจะค่อยๆ ลดบทบาทลง ซึ่งคงจะใช้ระยะเวลาอย่างน้อย และยืนยันเราไม่ได้มีความขัดแย้งกัน แต่การผลักดันบริษัทให้ไปต่อร่วมกันยังเป็นภาระกิจที่เรามีความสุขที่จะทำร่วมกัน และจะทำให้สำเร็จสมบูรณ์ด้วยดี" นายธงชัย กล่าว

สำหรับการดำเนินงานของ NOBLE ในช่วงครึ่งหลังของปี 68 นี้เป็นช่วงที่บริษัทพร้อมจะส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 4 โครงการใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการ นิว อีโว อารีย์, โครงการ โนเบิล ครีเอท, โครงการ นิว ริเวอร์เรสต์ และโครงการ โนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ ซึ่งปัจจุบันทั้ง 4 โครงการ มียอดขายรวมแล้วกว่า 8.6 พันล้านบาท ซึ่งหลังมีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการดังกล่าว

ผลจากการที่บริษัทจะมีการโอนโครงการใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ จะทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้น โดยเฉพาะการลดภาระหนี้สิน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่กว่า 2 เท่า คาดว่าหลังจากทยอยโอนกรรมสิทธิ์ 4 โครงการตามแผน จะทำให้ D/E ของบริษัทลดลงอยู่ที่ระดับต่ำกว่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่จะทำให้บริษัทมีความเข้มแข็งขึ้น

นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทยังมีสต็อกจาก 4 โครงการดังกล่วอีกกว่า 8.7 พันล้านบาท และโครงการอื่นๆ อีกกว่า 9 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดที่บริษัทพร้อมจะขายและส่งมอบทันที ดังนั้น จึงมั่นใจว่าครึ่งปีหลังของปี 68 ต่อเนื่องไนปี 69 แนวโน้มผลงานของบริษัทจะดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงที่บริษัทมีความเข้มแข็ง และพร้อมจะมองโอกาสในการลงทุนใหม่อีกครั้ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ