HILITE: โบรกชู CPAXT โดดเด่นสุดในกลุ่มอุปโภคบริโภคขานรับรัฐบาลใหม่จ่อฟื้น "คนละครึ่ง"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 10, 2025 14:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า รัฐบาลใหม่เตรียมฟื้นโครงการ "คนละครึ่ง" เพื่อนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า โครงการนี้มุ่งเป้ากระตุ้นการบริโภคของครัวเรือน, ลดภาระค่าครองชีพ และช่วยเพิ่มยอดขายให้กับพ่อค้าแม่ค้ารายเล็ก แต่ขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าเงื่อนไขของโครงการรอบนี้จะเหมือนกับโครงการคนละครึ่งในยุคของรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไม่รวมผู้ประกอบการ modern trade หรือไม่

สำหรับผลต่อผู้ประกอบการธุรกิจจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า CPAXT น่าจะได้รับประโยชน์มากสุดจากโครงการคนละครึ่งเฟสใหม่ เนื่องจากรายได้ประมาณ 22% ของธุรกิจในไทยของ Makro หรือประมาณ 11% ของรายได้จากการขายของ CPAXT ในครึ่งแรกปี 68 มาจากการจำหน่ายสินค้าให้กับร้านค้าปลีกขนาดเล็กหรือร้านโชห่วย โดยในเฟสที่ 1-2 ของโครงการคนละครึ่งรอบที่แล้วช่วงไตรมาส 4/63 ถึงไตรมาส 1/64 ยอดขายลูกค้ากลุ่มนี้ของ Makro เพิ่มขึ้นถึง 20% yoy หรือคิดเป็นราว 4% pts ของอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) แม้ว่ายอดขายของ Lotuss อาจกระทบจากการที่ประชาชนไปซื้อของร้านโชห่วยมากขึ้น แต่เชื่อว่าผลบวกจากธุรกิจค้าส่งจะมากกว่าผลลบจากธุรกิจค้าปลีก

ขณะที่ CPALL อาจมี downside risk จากโครงการคนละครึ่ง เนื่องจากร้าน 7-Eleven แข่งขันโดยตรงกับร้านโชห่วยที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขายได้เร็ว รวมถึงสินค้าประเภทเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นสินค้าหลักที่ครอบคลุมอยู่ภายใต้โครงการนี้ ขณะเดียวกัน แม้ว่าการประเมินผลกระทบต่อยอดขายช่วงเฟสที่ 1-2 ของโครงการจะทำได้ยาก เพราะถูกมีปัจจัยเจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้การท่องเที่ยวซบเซาและเศรษฐกิจมหภาคอ่อนแอ แต่ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ประมาณการว่าผลกระทบต่อ SSSG น่าจะอยู่ระหว่าง -3% ถึง -5% pts

BJC เครือข่ายร้านโดนใจของ BigC ได้รวมเอาร้านจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคขนาดเล็กเข้ามาในระบบธุรกิจด้วย จึงอาจมีปริมาณการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยอดขายของร้านโดนใจมีสัดส่วนราว 2% ของยอดขายในครึ่งปีแรก 68 ของ BigC เท่านั้น จึงเชื่อว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นน่าจะไม่พอชดเชย ส่วนแบ่งตลาดที่อาจลดลงของ hypermarket หากลูกค้าหันไปจับจ่ายซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม

ส่วนร้านค้าปลีกสมัยใหม่อื่นๆ ได้แก่ CRC, DOHOME, HMPRO, GLOBAL ฝ่ายวิเคราะห์ฯ มองว่าน่าจะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการจำกัดสิทธิการใช้จ่ายไว้ไม่เกิน 150 บาท/วัน ทำให้ผู้ใช้สิทธิสามารถซื้อสินค้าที่มีราคาไม่สูงนัก เช่น อาหาร, เครื่องดื่มและของใช้ที่จำเป็น จึงเชื่อว่าน่าจะไม่ทำให้ยอดขายของ modern trade ไหลไปยังร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมมากนัก

ผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลัง ได้แก่ OSP และ CBG มองว่าผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลังจะไม่ได้รับผลกระทบ หรืออาจได้รับผลดีเล็กน้อย โดยโครงการคนละครึ่งอาจทำให้ช่องทางการจำหน่ายเปลี่ยนไป คือ ลูกค้าเปลี่ยนมาซื้อจากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมแทนร้านค้าปลีกสมัยใหม่ แต่น่าจะไม่ช่วยกระตุ้นอุปสงค์โดยรวม เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แนะนำว่าผู้บริโภคไม่ควรดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเกินวันละ 2 ขวด อย่างไรก็ตาม การที่ผู้บริโภคมีรายได้ที่สามารถใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมไปซื้อสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุน margin ทั้งนี้ เชื่อว่า OSP อาจได้ประโยชน์จากโครงการนี้มากกว่า CBG เนื่องจาก OSP มีพอร์ตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีหลายระดับราคา

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า โครงการคนละครึ่งเป็นเพียงมาตรการช่วยเหลือในระยะสั้นมากกว่าจะเป็นการปฏิรูปโครงสร้าง ดังนั้น หากไม่มีมาตรการอื่นที่จะช่วยเพิ่มผลิตภาพหรือช่วยให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน ก็มองว่าการบริโภคภาคเอกชนอาจกลับมาเติบโตต่ำอีกครั้งหลังสิ้นสุดโครงการ โดยกรณีของ CPAXT ผลดีจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นชั่วคราวจะสร้างฐานที่สูงทำให้การเติบโตระยะยาวไม่สดใส ส่วนกรณีของ CPALL แม้ว่าผลกำไรจะมีความเสี่ยงระยะสั้น แต่มองว่าราคาหุ้นที่อาจปรับตัวลง เป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นในราคาที่น่าสนใจมากขึ้น

ดังนั้น ยังแนะนำ "คงน้ำหนักการลงทุน" กลุ่มอุปโภคบริโภคของไทย โดยมองว่า upside risk จะมาจากการบริโภคที่ฟื้นตัวเร็วกว่าคาดหลังสิ้นสุดโครงการและนโยบายของรัฐบาลใหม่มุ่งเป้าเพิ่มผลิตภาพในระยะยาว และกระตุ้นการบริโภคอย่างยั่งยืน ส่วน downside risk จะมาจากการประกาศโครงการเฟสใหม่ ภายใต้เงื่อนไขเดิมและการบริโภคยังคงอ่อนตัวหลังไม่มีเงินอุดหนุนจากรัฐ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ