SKIN เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 1.20 บาท เปิดจองซื้อ 15-17 ก.ย. เข้าเทรด mai ก.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 12, 2025 10:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

SKIN เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 1.20 บาท เปิดจองซื้อ 15-17 ก.ย. เข้าเทรด mai ก.ย.

บมจ.สกิน ลาบอราทอรี่ [SKIN] เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชน (IPO) จำนวน 44,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.20 บาท มูลค่าการเสนอขาย 52.80 ล้านบาท ระยะเวลาจองซื้อตั้งแต่วันที่ 15-17 กันยายน 2568 และจะเข้าซื้อขายในตลาด mai กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ในเดือนก.ย.68 ใช้ช่อย่อในการซื้อขายคือ SKIN โดยบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นปรึกษาทางการเงิน และ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

SKIN เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 1.20 บาท เปิดจองซื้อ 15-17 ก.ย. เข้าเทรด mai ก.ย.

นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน SKIN กล่าวว่า SKIN ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้ง บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) พร้อมผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 แห่ง ได้แก่ บล.ไอร่า บล.บียอนด์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์ เนชั่นแนล (ประเทศไทย) และบล.ลิเบอเรเตอร์

นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า การกำหนดราคาไอพีโอเป็นราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบัน คาดว่า SKIN จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอีกมาก จากกระแสตลาดความงามในประเทศที่กำลังเป็นที่นิยม รวมถึงมีความพร้อมในการขยายธุรกิจและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในอนาคต

SKIN เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 1.20 บาท เปิดจองซื้อ 15-17 ก.ย. เข้าเทรด mai ก.ย.

นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SKIN กล่าวว่า SKIN ประกอบธุรกิจคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิว โดยคิดค้น และพัฒนาสูตรร่วมกับโรงงานผู้ผลิตที่ได้รับมาตรฐานการรับรองคุณภาพภายใต้ 2 แบรนด์หลัก คือ Skinsista (สกินซิสต้า) และแบรนด์เวชสำอาง Dermie (เดอร์มี่) ซึ่งในปี 2568 ทั้ง 2 แบรนด์ โดยตั้งเป้าว่าในปีนี้จะมีสินค้าออกใหม่ไม่ต่ำกว่า 20 SKUs

โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคได้แก่ เซรั่มบำรุงผิว ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด รวมไปถึงแป้งผสมรองพื้นที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทสามารถหาซื้อได้ในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ทั้ง Convenience Store และ Specialty Store อาทิ Watsons, CJ MORE NINE BEAUTY, 7-11, Beautrium , Konvy เป็นต้น และช่องทาง Online อาทิ Shopee, Lazada และ Tiktok shop

ภายหลังการระดมทุนบริษัทมีแผนนำเงินมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว โดยแบ่งเป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิม วิจัย-พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเครื่องสำอาง เวชสำอางบำรุงผิว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เพื่อขยายฐานผลิตภัณฑ์และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาด

นอกจากนี้ยังจะนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ Skinsista และ Dermie ด้วยงบประมาณสำหรับขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ รวมถึงตลาดต่างประเทศเพื่อรองรับการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยเงินทุนที่ระดมทุนได้ 52.80 ล้านบาท บริษัทฯจะนำไปใช้ในช่วงปี 68-70 ดังนี้

1.เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิม และ/หรือการคิดค้น วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องสำอางหรือเวชสำอางบำรุงผิวหน้าหรือผิวพรรณ หรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เพื่อขยายฐานผลิตภัณฑ์และเพิ่มยอดขาย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับโอกาสทางธุรกิจและความเหมาะสมในการลงทุนในอนาคต

2.ใช้เป็นค่าใช้จ่ายการตลาดและการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ทั้งแบรนด์หลักปัจจุบันคือ Skinsista และแบรนด์ที่จะมุ่งเน้นทำ การตลาดเพิ่มเติม คือ Dermie

3.ใช้เป็นค่าใช้จ่ายการตลาดและการประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นการรับรู้แบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัท ผ่านการลงทุนให้ครอบคลุมช่องทางการจำ หน่ายหลัก (Market Landscape)

4.ใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ เช่น การขยายช่องทางการจำหน่ายและฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ

การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทที่เสนอขายในครั้งนี้ พิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: PER) ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่เสนอขายหุ้นละ 1.20 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ เท่ากับ 12 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งมีกำไรสุทธิของบริษัท เท่ากับ 15.05 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 144.00 ล้านหุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share:EPS) ของบริษัท เท่ากับ 0.10 บาทต่อหุ้น

โดยสัดส่วนหุ้นของ "ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร" ที่ไม่ติด Silent Period มีจำนวน 20,800,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 14.44 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้

แต่ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัททั้งผู้ถือหุ้นที่เป็น "ผู้ที่มีส่วนร่วมในการบริหาร" และ "ผู้ที่ไม่มีส่วนร่วมในการบริหาร" ได้ตกลงและยินยอมโดยความสมัครใจที่จะไม่ขายหุ้นที่ตนถืออยู่เพิ่มเติมจากเกณฑ์ Silent Period ของตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือเรียกว่า "ระยะเวลาสมัครใจไม่ขายหุ้น" (Voluntary Share Lockup) จำนวน 20,800,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 14.44% ของทุนชำระแล้ว ภายหลังการเสอนขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ เป็นระยะเวลา 3 เดือนนับแต่วันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ

บริษัทได้กำหนดนโยบายจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ หลังจากหักเงินสำ รองต่างๆ ทุก

ประเภทตามที่กฎหมายกำหนดและตามที่กำ หนดไว้ในข้อบังคับบริษัท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ