มองมุมต่าง: 7 ปัจจัยหลักในประเทศที่ทำให้ต่างชาติหนีจากตลาดหุ้นไทย

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 16, 2025 12:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

มองมุมต่าง: 7 ปัจจัยหลักในประเทศที่ทำให้ต่างชาติหนีจากตลาดหุ้นไทย

การทยอยเทขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ดัชนี FTSE ได้ประกาศ rebalance หุ้นไทยขนาดใหญ่ หลุดจากกระดาน Standard Index ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 กันยายน 2568 นี้

หากมองเฉพาะปัจจัยหลักภายในประเทศที่ประเมินว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทย สามารถแยกได้ดังนี้

1.เศรษฐกิจจริง อ่อนแรงกว่าภูมิภาค

จากแนวโน้มตัวเลข GDP ที่ต่ำและไม่แน่นอน โดยในปี 2568 ที่หน่วยงานรัฐออกมาคาดการณ์การเติบโตเพียง 2.2% ใกล้เคียง 1.8-2.3% ที่ภาคเอกชนประเมินนั้น ถือเป็นการสะท้อนภาคการบริโภคและการลงทุนที่ไม่มากเพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ

ในเมื่อภาพของเศรษฐกิจโตช้า จึงทำให้มีผลต่อภาพรวมของการประเมินกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของกำไรบริษัทจดทะเบียน จากบรรดานักวิเคราะห์ที่ลดลง ส่งผลต่อการมีส่วนลดของตลาด (valuation discount) ที่กว้างขึ้นในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ออกมาของเดือน ส.ค.2568 ต่ำสุดในรอบ 32 เดือน กดดันรายได้บริษัทที่ต้องอาศัยการเติบโตจากดีมานด์ในประเทศ

รวมถึง หนี้ครัวเรือนสูงถึง 89% ของ GDP ทำให้การใช้จ่ายฟื้นช้า คนปล่อยกู้ คือ แบงก์ เสี่ยงตั้งสำรองมากขึ้น

ประเด็นทั้งหลายเหล่านี้ลดแรงดึงดูดและความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยลง

2.นโยบายการเงิน-อัตราแลกเปลี่ยน

ทิศทางดอกเบี้ยกับ "ส่วนต่างผลตอบแทน" มีผลกระทบอย่างมาก แม้ กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ 1.50% (13 ส.ค.) แต่วงจรตัดดอกเบี้ยที่เริ่มช้าเมื่อเทียบกับแรงชะลอในประเทศ ทำให้ "ส่วนชดเชยความเสี่ยงหุ้นไทย" ดูไม่คุ้มในสายตาต่างชาติ โดยเฉพาะช่วงก่อนลดดอกเบี้ยรอบลึก

นอกจากนี้ ค่าเงินบาทผันผวนก็ถือเป็นความเสี่ยงผลตอบแทน (FX-translated return) ทำให้ต่างชาติลดความเสี่ยง

3.การเมืองและนโยบายภายในที่ "ไม่แน่นอน"

ประเด็นความต่อเนื่องของรัฐบาล รวมถึงการสานต่อนโยบายให้ลุล่วงไปได้นั้น มีอุปสรรค ไม่ว่าจะการปลดนายกฯ (แพทองธาร) คนก่อน ตามด้วยการโหวต นายกฯ คนใหม่ (อนุทิน) ภาพการเปลี่ยนแปลงผู้นำช่วงสั้น ๆ เพิ่มความเสี่ยง policy continuity ที่ต่างชาติไม่ชอบ

ประกอบกับ มาตรการการคลัง, การกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่นิ่ง การออกแบบใหม่-เลื่อน-ปรับ โครงการประชานิยมต่างๆ ล้วนสะท้อน "ความไม่แน่นอน" ด้านนโยบาย

4.โครงสร้าง-กฎเกณฑ์ตลาดทุน

การเปลี่ยนกฎกติกาบ่อยๆ ช่วงตลาดหุ้นผันผวน การใช้มาตรการชั่วคราว อาทิ การลด ceiling-floor, การกำหนด price band, ห้าม short บางช่วง

รวมถึง การจำกัด short selling เฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100 เพื่อลดความผันผวน แม้จะช่วยสร้างเสถียรภาพ แต่จะเป็นไปในระยะสั้น ซึ่งภาพของ Regulatory Unpredictability ทำให้บางกองทุนในต่างประเทศลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยลง

นอกจากนี้ ประเด็นหนึ่งที่สำคัญมาก คือ การมีสภาพคล่องถดถอย มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรายวันที่ปรากฎออกมาระดับ 35 หมื่นล้านบาทต่อวันในปี 2568 ทำให้กองทุนต่างชาติส่วนใหญ่เข้า-ออกยากขึ้น จึงเลือกชะลอและลดน้ำหนักการลงทุนลง

5.กำกับดูแล-ธรรมาภิบาล

ในกรณีเคสฉ้อโกงใหญ่ที่ยืดเยื้อ อย่าง คดี STARK และการฟ้องรวมต่อผู้สอบบัญชี และผู้เกี่ยวข้อง ได้เพิ่ม "Country risk premium" เชิงธรรมาภิบาล ทำให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วนยอมจ่าย "ค่าเบี้ยความสบายใจ" ไปเทรดที่ตลาดอื่นที่มีระบบบังคับใช้กฎหมายชัดกว่า

ต่อเนื่องมาถึง บทลงโทษ และการบังคับใช้กฎหมาย แม้จะมีคดีปั่นหุ้น หรือ อินไซเดอร์ที่หน่วยงานกำกับสั่งลงโทษ แต่หลายฝ่ายยังมองว่า บทลงโทษไม่สอดคล้องกับความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงทำให้ไม่สามารถยับยั้งพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายได้เต็มที่ ภาพลักษณ์ตลาดจึงเกิดความเสียหาย

6.โครงสร้างอุตสาหกรรม-ต้นทุนธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน มีความผันผวน คาดเดายาก

ต้นทุนพลังงาน ค่าไฟที่ผันผวนจากความไม่แน่นอนของค่า Ft และทิศทางค่าไฟ มีทั้งเฟสลด และกรอบหารือทั้งทางขึ้น-ลงในช่วงเวลาต่างๆ ของปี

การกด margin ภาคผลิต-บริการ ทำให้การประเมินกำไรยากขึ้นในสายตานักลงทุนต่างชาติ

อีกทั้ง ภาคอสังหาฯ อ่อนแรงจน ธปท.ต้องผ่อน LTV ชั่วคราว สะท้อนดีมานด์วงกว้างที่ยังเปราะบาง ส่งผลกระทบต่อหุ้น ธนาคาร, วัสดุก่อสร้าง และ ค้าปลีก เป็นต้น

7. หุ้นหลักของตลาดไทยยังเป็นหุ้น "โลกเก่า" ทำธุรกิจดั้งเดิม สวนทางตลาดหุ้นทั่วโลก

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า น้ำหนักการลงทุน หรือ มาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ของตลาดหุ้นไทย คือ กลุ่มพลังงาน- โรงไฟฟ้า-ธนาคาร-อสังหาฯ- ท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่หุ้นเหล่านี้ คือ ธุรกิจโลกเก่าที่เติบโตช้า และไม่สามารถแข่งขันได้ นอกจาก อาศัยการทำธุรกิจแบบผูกขาด(Monopoly)

ในขณะที่หุ้นโลกใหม่ (New-economy) ที่ต่างชาติชอบ อย่างหุ้นเทคโนโลยี ,ซอฟต์แวร์ ,เซมิคอนดักเตอร์ มีสัดส่วนจำกัดในตลาดหุ้นบ้านเรา

เมื่อตลาดโลกไล่ธีม AI หรือ ดิจิทัล ประเทศที่มีธีมโดดเด่นจะดึง Fund Flow ได้มากกว่า ไทยจึงเสียส่วนแบ่งตามโครงสร้าง (structural underweight) ได้ง่าย

สรุป ต่างชาติขายหุ้นไทย เพราะภาพรวมเศรษฐกิจมีโอกาสเติบโตต่ำ ,นโยบายไม่ชัด ,สภาพคล่องน้อย, กติกาตลาด หรือ ธรรมาภิบาลไม่นิ่ง รวมถึง โครงสร้างหุ้นไม่ตรงธีมโลก ประเด็นเหล่านี้ทำให้ต่างชาติไม่อยากมาเสี่ยง หรือ เสียเวลากับตลาดหุ้นไทย

ธิติ ภัทรยลรดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ