
ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกง พุ่งขึ้นไป 50% และ YTD +35% ส่วน ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ปรับขึ้น 42% ใน 1 ปีและ YTD +18% เหตุใดตลาดหุ้นจีนถึงได้ร้อนแรงทั้งที่เศรษฐกิจจีนก็ยังวิกฤติ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์
Wealth Me Please EP.นี้ชวนมาส่องตลาดหุ้นจีนจาก "เจ็กกี้" หรือ นายสุธน สิงหสีทธางกูร นักลงทุนหุ้นจีน มองว่าเหตุที่ตลาดหุ้นจีนร้อนแรงเป็นเพราะนักลงทุนโยกเงินจากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์มายังตลาดหุ้นมากขึ้น แหล่งเงินมาจากฐานเงินฝากที่เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัตการณ์ถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกอย่าง หุ้นจีนผ่านวิกฤตเศรษฐกิจและปรับฐานลงมาแรงจน Valuation ต่ำ แม้จะปรับขึ้นมาบ้างแล้วแต่มองว่ายังไม่แพง แม้วิกฤติเศรษฐกิจของจีนยังไม่จางหายไป เพราะถูกวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์กดทับอยู่ แต่ชาวจีนไม่ค่อยมีทางเลือกการลงทุนมากนัก เพราะทางการคุมเข้มจำกัดการนำเงินออกนอกประเทศ
เจ็กกี้ เล่าว่า ปัจจุบัน สหรัฐฯเป็นประเทศที่มี GDP ใหญ่ที่สุดในโลก จีนเป็นที่สอง แต่ถ้านับ GDP by PPP (Purchasing power Parity) จีนจะเป็นเบอร์หนึ่งที่มีกำลังซื้อสูงสุด อย่างไรก็ดี แต่ก่อน Market Cap ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กับตลาดหุ้นจีนห่างกันถึง 8-9 เท่า ซึ่งปัจจุบันหุ้นจีนก็ค่อยๆ ปรับขึ้นมาแล้ว และเชื่อว่าภายใน 10 ปีข้างหน้าจีนจะเป็นประเทศที่มี GDP อันดับหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว สุดท้าย Market Cap ของหุ้นจีนก็น่าจะเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้ในที่สุด ซึ่งวันนี้ ตลาดหุ้นจีนกับสหรัฐห่างกัน 4-5 เท่า เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรมองข้ามตลาดหุ้นจีน
จากประสบการณ์การลงทุนในหุ้นจีน เจ็กกี้ บอกว่า ตอนนี้ไม่ง่าย ต้องเฟ้นหาหุ้นที่ให้ Recurring income และ สามารถปรับราคาขึ้นได้ (Pricing power) สามารถสร้างรายได้ให้เติบโตได้ นอกจากนี้ การเลือกลงทุนก็ควรจะทำในช่วงเวลาที่วิกฤติเป็นโอกาสได้หุ้นราคาต่ำ แล้วไปขายช่วงที่ราคาขึ้นไปสูง (Bubble) ซึ่งโอกาสที่เกิด Bubble ไปอยู่ที่กลุ่มธุรกิจในอนาคตเสียส่วนใหญ่
โดยตอนนี้หุ้นที่มองว่าเข้าโซน Bubble คือ กลุ่มฮั่งเส็งเทค แต่ถ้าเทียบกับกลุ่ม Nasdaq ก็ยังถูกกว่ามาก แต่ถ้ามองให้ลึกว่าอนาคตจะเป็นโลกที่แข่งขันด้วย AI ซึ่งในโลกนี้มีเพียงสหรัฐและจีนที่เป็นคู่แข่งกันได้
"ตลาดต่อให้มัน Bubble ผมว่ามันไม่สำคัญว่าพอร์ตหุ้นเรา Bubble หรือเปล่า? ตลาดที่มัน Bubble แต่พอร์ตหุ้นเรามันไม่ Bubble สุดท้ายฟองสบู่มันแตก พอร์ตเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ฉะนั้นจังหวะที่ซื้อ ซื้อตอนที่ under value แต่จังหวะที่เราขายต้องขายตอนที่เป็นฟองสบู่" เจ็กกี้ แนะกลยุทธ์เจ็กกี้ แนะว่าถ้าเป็นมือใหม่ ควรหาหุ้นปันผลติดพอร์ตไว้ ซึ่งในตลาดหุ้นจีนมีหุ้นปันผลสูงถึง 15% แต่เท่าที่เห็นตอนนี้มีหุ้นจีนปันผลกันในระดับ 7-8% ถ้าเราไม่โลภเกินความรู้เรา เราก็ไม่เสียหายจากตลาดหุ้น และเราก็จะทำเงินได้
ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มไบโอเทคฯ, ยาจีน หุ้นเหล่านี้ปรับตัวขึ้นมา 4-5 เด้งแล้ว และเกิดสัญญาณฟองสบู่ แนะให้หลีกเลี่ยงกลุ่มนี้ไปก่อน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนลงทุน แต่ให้พยายาหากลุ่ม Laggard ซึ่งยังมีอยู่อีกมาก
https://youtu.be/EhjSsaqwOQc