สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ประจำสัปดาห์ (15 - 19 กันยายน 2568) ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ มีมูลค่ารวม 689,538 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 137,908 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 32% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้ว จะพบว่ากว่า 54% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 371,480 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออก โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (state Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออก โดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 276,816 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่า การซื้อขายเท่ากับ 15,947 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% และ 2% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ
สำหรับพันธบัตรรัฐบาล ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB456A (อายุ 19.8 ปี) LB284A (อายุ 2.6 ปี) และ LB353A (อายุ 9.5 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 59,868 ล้านบาท 32,213 ล้านบาท และ 18,340 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) รุ่น BJC317A (A) มูลค่าการซื้อขาย 889 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รุ่น BEM264B (BBB+) มูลค่าการซื้อขาย 877 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) รุ่น CPAXT284B (AA-) มูลค่าการซื้อขาย 630 ล้านบาท
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลง 4-6 bps. หลังจากที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เมื่อวันที่ 16-17 ก.ย. มีมติ 11 ต่อ 1 เสียง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ตามการคาดการณ์ของตลาด โดยการคาดการณ์ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ก่อนสิ้นปีนี้ และลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2569 และ 2570 อีกทั้งเฟดได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้ สู่ระดับ 1.6% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.4% ขณะที่คงตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อและอัตราว่างงานในปีนี้ ด้านปัจจัยในประเทศ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความท้าทายเพิ่มเติมจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ (US Tariffs) ดังนั้น ธปท. จึงปรับทิศทางนโยบายการเงิน ให้ผ่อนคลายมากขึ้น และยังให้ความสำคัญกับการรักษาพื้นที่ทางนโยบาย (policy space) ไว้รองรับความไม่แน่นอนในอนาคต ด้านผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เมื่อวันที่ 18 ก.ย. มีมติด้วยคะแนนเสียง 7-2 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.00% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ในขณะที่ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เมื่อวันที่ 18-19 ก.ย. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5%
สัปดาห์ที่ผ่านมา (15 - 19 กันยายน 2568) กระแสเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทยรวมสุทธิ 8,506 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อสุทธิใน ตราสารหนี้ระยะสั้น (ST) (อายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี) 2,073 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว (LT) (อายุมากกว่า 1 ปี) 7,344 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 910 ล้านบาท
หมายเหตุ: อันดับเครดิต หมายถึง อันดับเครดิตของหุ้นกู้เฉพาะรุ่น หรือ อันดับเครดิตของผู้ออกหุ้นกู้
ดัชนีหุ้นกู้เอกชน (Corp Bond Gross Price Index) เปลี่ยนเป็น ดัชนีหุ้นกู้เอกชน(MTM Corp Bond Gross Price Index) ตั้งแต่ ม.ค. 2565
ความเคลื่อนไหวในตลาดตราสารหนี้ไทย สัปดาห์นี้ สัปดาห์ก่อนหน้า เปลี่ยนแปลง สะสมตั้งแต่ต้นปี (15 - 19 ก.ย. 68) (8 - 12 ก.ย. 68) (%) (1 ม.ค. - 19 ก.ย. 68) มูลค่าการซื้อขาย แบบปกติ - Outright Trading (ล้านบาท) 689,538.44 521,422.30 32.24% 16,004,140.26 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน (ล้านบาท) 137,907.69 104,284.46 32.24% 91,977.82 ดัชนีพันธบัตรรัฐบาล (Gov Bond Gross Price index) 116.42 116.67 -0.21% ดัชนีหุ้นกู้เอกชน (MTM Corp Bond Gross Price Index) 109.67 109.65 0.02% เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Gov Bond Yield Curve) --% ช่วงอายุของตราสารหนี้ 1 เดือน 6 เดือน 1 ปี 3 ปี 5 ปี 10 ปี 15 ปี 30 ปี สัปดาห์นี้ (19 ก.ย. 68) 1.33 1.3 1.28 1.14 1.15 1.34 1.57 2.07 สัปดาห์ก่อนหน้า (12 ก.ย. 68) 1.34 1.31 1.28 1.14 1.19 1.4 1.61 2.04 เปลี่ยนแปลง (basis point) -1 -1 0 0 -4 -6 -4 3