นายยงยุทธ เสฏฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป [TU] กล่าวว่า จากการออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (ทรัพยากรทางทะเล) (Blue Bond) หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond หรือ SLB) และสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan หรือ SLL) ส่งผลให้สิ้นปี 68 บริษัทคาดต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ยลดลงเหลือ 3% จากปี 67 อยู่ที่ 3.8%
ขณะเดียวกัน การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ได้รับความสนใจล้นหลามจากนักลงทุน ด้วยยอดจองซื้อทะลุเป้าถึง 3.68 เท่า จากเป้าหมายการระดมทุนที่ 7,000 ล้านบาท จึงได้เพิ่มมูลค่าการออกหุ้นกู้เป็น 9,000 ล้านบาท ส่งผลให้ TU บรรลุเป้าหมาย Blue Finance หรือการบริหารจัดการการเงินเพื่อการทำงานด้านการอนุรักษ์ท้องทะเล โดยสามารถระดมทุนจากแหล่งเงินทุนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้เกินเป้าหมายปี 68 ซึ่งกำหนดไว้ที่ 75% ของเงินกู้ยืมระยะยาวเป็นระดับที่ 80% พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย 100% ภายในปี 73
จากความท้าทายในการดำเนินธุรกิจที่ค่อนข้างสูงในปีนี้ ทั้งจากปัจจัยภาษีการค้าสหรัฐ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้บริษัทมุ่งเน้นการทำ Financing ซึ่งปีนี้ปิดดีลเงินกู้ยั่งยืน 24,000 ล้านบาท ขณะที่สินเชื่อ SLLs ที่จะครบกำหนดสิ้นปีนี้ 12,000 ล้านบาท บริษัทได้เตรียมแผนในการชำระคืนแล้ว โดยการแปลงเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 5,000 ล้านบาท เป็นเงินกู้ระยะยาว พร้อมการออกหุ้นกู้รองรับการชำระคืนเรียบร้อยแล้ว
สำหรับประเด็นค่าเงินบาทที่แข็งค่า บริษัทมีสัดส่วนการส่งออกกว่า 90% เงินบาทที่เคลื่อนไหวในระดับปัจจุบันไม่ถือว่าดี แต่คาดว่าภาพรวมต้องมีการจัดการเนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ อิงกับภาคการส่งออกกว่า 60-70% ดังนั้นหากไม่มีการจัดการจะกระทบต่อการเติบโตของ GDP ทั้งในแง่ของการส่งออก ความสามารถในการแข็งขัน และการบริหารต้นทุน ขณะที่การบริหารค่าเงินของบริษัท ได้มีการปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยการล็อคค่าเงิน Forward หลังจากที่ปิดออเดอร์กับลูกค้า เพื่อปิดความเสี่ยงและไม่ให้กระทบกับงบการเงินของบริษัท
ส่วนการที่ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ยกเลิกซื้อหุ้นเพิ่มนั้นการยกเลิก Tender Offer หุ้นบางส่วนเป็นไปตามเงื่อนไขที่วางไว้ล่วงหน้า เนื่องจากรวบรวมหุ้นได้ไม่ถึงเป้า อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์และความร่วมมือทางธุรกิจที่ดำเนินมาอย่างยาวนานระหว่างสองบริษัทยังคงเดินหน้าต่อไปตามปกติ
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวว่า ความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ช่วยผลักดันให้ TU เดินหน้ากลยุทธ์ทางการเงินให้มีความสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน SeaChange 2030 และพันธกิจของเราในการมุ่งสร้างสุขภาพที่ดี และท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ Healthy Living, Healthy Oceans เพื่อขับเคลื่อนอนาคตที่เท่าเทียมและยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมอาหารทะเลทั่วโลก
ทั้งนี้ ธุรกรรมล่าสุดในเดือนกันยายนมีมูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อ SLL จำนวน 10,000 ล้านบาท และหุ้นกู้จำนวน 9,000 ล้านบาท จากกลุ่มพันธมิตรสถาบันการเงินชั้นนำ นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการออกหุ้นกู้แบบผสมผสานระหว่าง หุ้นกู้ Blue Bond และหุ้นกู้ SLB ทำให้นักลงทุนมีความต้องการล้น ส่งผลให้ยอดจองสูงเกินเป้า และทำให้ TU สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดของช่วงเสนอขายในทุกช่วงอายุของหุ้นกู้ ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อสถานะทางการเงินและวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนของบริษัท โดยมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังต่อไปนี้
หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.70% วงเงิน 2,000 ล้านบาท
หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.20% วงเงิน 2,000 ล้านบาท
หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.46% วงเงิน 5,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ สถานะทางการเงินของไทยยูเนี่ยนยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยล่าสุดบริษัทได้รับการประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน จาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ไว้ที่ระดับ A+ ต่อเนื่อง
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนยังได้รับเงินกู้เพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทางทะเล (Blue Loan) มูลค่า 5,000 ล้านบาทจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และกลุ่มธนาคารพันธมิตร ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมอาหารทะเลในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการเพาะเลี้ยงกุ้งอย่างยั่งยืนและการรับรองมาตรฐานสำหรับเกษตรกรกุ้ง ความสำเร็จทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ไทยยูเนี่ยนสามารถระดมทุนเพื่อความยั่งยืนทางทะเล รวมทั้งสิ้น 24,000 ล้านบาทในปี 2568