
นายวิน พรหมแพทย์ CFA, ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย (KASSET) คาดสิ้นปี 68 มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) จะเพิ่มเป็น 1.7 แสนล้านบาท จากช่วง 8 เดือนแรกขึ้นมาที่ 1.3 แสนล้านบาท จากตลาดรวมกองทุนที่มีมูลค่า AUM ราว 2.7 แสนล้านบาท โดยเป็นการเติบโตจากกองทุนตราสารหนี้ไทย กองทุนผสม อย่างกองทุน K-wealthPLUS series ที่ร่วมออกแบบกับเจพีมอร์แกน
อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทย ระบุว่า ไม่ได้โฟกัสมูลค่า AUM แต่โฟกัสที่ผลตอบแทนของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งในช่วง 8 เดือนแรก ผลตอบแทนเฉลี่ยของลูกค้าดีกว่าปีก่อน
นายวิน กล่าว่า เศรษฐกิจไทยโตช้ากว่าเพื่อนบ้านทั้งปีนี้และปีหน้า อยู่ที่ 2% บวกลบ ขณะที่จีน โต 4% มาเลเซีย โต 4% อินโดนีเซีย 4% เวียดนามโต 6% สาเหตุที่เศรษฐกิจไทยโตต่ำมาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น ปัญหาหนี้ครัวเรือน ทำให้กระทบต่อผลกำไรบริษัทจดทะเบียน (Earning) ให้เติบโตช้า และดัชนีหุ้นไทยเติบโตช้าตาม Earning
แต่แม้ว่ากำไร บจ.เติบโตสุทธิ 1% แต่ได้รับเงินจ่ายเงินปันผล 4% จึงคาดว่าใน 10-15 ปี จะมีผลตอบแทนจากเงินปันผล 5% แสดงให้เห็นว่า ผลตอบแทนจากเงินปันผลมีส่วนพยุงตลาดหุ้นแม้ บจ.ในตลาสดเติบโตช้า
ขณะที่ SET HD มีผลตอบแทนจากเงินปันผล 8 เดือนแรก (YTD) เฉลี่ย 6.5%ในปี 68 ขณะที่ SET ผลตอบแทน -8% ส่วนในปี 69 คาด SET จะมีผลตอบแทนจ่ายเงินปันผลเฉลี่ย 4.29% และ SET HD จะมีผลตอบแทนจ่ายเงินปันผลเฉลี่ย 6.59% แสดงว่า SET HD ทำได้สูงกว่า ความผันผวนต่ำ ราคาไม่แพง ฉะนั้น เห็นว่าแม้หุ้นไทยจะอยู่ในเศรษฐกิจโตช้า แต่เรามีหุ้นปันผลที่ดี
"แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงระยะ 6 เดือนข้างหน้า (ไตรมาส 4/25 - 1/26) สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
ขณะที่แรงสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ ทั้งในด้านการผ่อนคลายทางการเงินและการเบิกจ่ายงบประมาณ มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ โดยการฟื้นตัวของตลาดจากจุดต่ำสุดในปี 2025 ได้รับแรงหนุนจากการลดภาษีและความเสี่ยงทางการเมืองที่ลดลงแม้ตลาดยังซื้อขายในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวโดยมองเป้าหมายดัชนีปลายปีอยู่ที่ระดับ 1,300-1,340 จุด" นายวินกล่าว
นางสาวภารดี มุณีสิทธิ์ CFA, รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน KASSET มองว่า ตลาดหุ้นไทยใน 1-2 ไตรมาส downside จำกัดหลังจากความไม่แน่นอนเรื่องมาตรการภาษีสหรัฐ (Tariff) ความไม่แน่นอนทางการเมือง ทั้งนี้ปัจจัยบวกเรื่องนโยบายการเงินและการคลังมีการสอดประสานกัน โดยมีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)คนใหม่ และรมว.คลังคนใหม่ ที่จะเร่งกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น น่าจะช่วยเศรษฐกิจ หรือ GDP ในครึ่งปีหลังได้บ้าง ความเสี่ยงการเมืองก็ลดลง
นอกจากนี้ GDP ไทยได้รับการปรับประมาณการขึ้น โดยคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากใช้งบประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ช่วยปรับเพิ่ม GDP 0.3% จะช่วยพยุง GDP ในไตรมาส 4 อีกทั้งคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับลดลง 0.25-0.75% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยทุกๆการปรับลดดอกเบี้ย 0.25% จะมีส่วนผลักดันดัชนีหุ้นไทย 40 จุด อย่างไรก็ดี ตลาดรับรู้เรื่องการปรับลดดอกเบี้ยแล้ว จึงคาดดัชนีไม่ได้ขยับมากนัก โดยในปี 69 คาดดัชนี SET ที่ 1,400-1,450 จุด แนวรับ 1,220 จุด
นายวิน กล่าวอีกว่า ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังคงเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ แนะนำกองทุนเปิดเคหุ้นปันผล หรือ K-VALUE เป็นตัวเลือกที่มีศักยภาพในการบริหารพอร์ตการลงทุนหุ้นไทยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นคัดเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความสามารถจ่ายปันผลสม่ำเสมอและสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด พร้อมให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลประกอบการและความมั่นคงทางการเงินของบริษัทที่ลงทุนเพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและลดความเสี่ยงจากความผันผวนในระยะยาว คาดการจ่ายเงินปันผล 6%
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา กองทุน K-VALUE มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ที่ 6.2% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี SET Index ที่อยู่ที่ 4.1% อีกทั้งยังมีผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังที่โดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มกองทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยกองทุนได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนอย่างมืออาชีพ (ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568)
นางสาวภารดี กล่าวว่า จุดเด่นกองทุน K-Value เน้นลงทุนหุ้นที่ค่อนข้างเติบโต และจ่ายเงินปันผลได้ในระดับสูง โดยที่คัคสรรเป็นกลุ่มธนาคาร มีผลตอบแทนจ่ายเงินปันผลเกือบ 8% ส่วนกลุ่มพลังงาน มีผลตอบแทนจ่ายเงินปันผล 6% และกลุ่ม Property โดยหุ้นที่ลงทุน 3 อันดับแรก ได้แก่ PTT, SCB, KBANK ทั้งนี้ กองทุนจัดพอร์ต 85% ในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง Valuation ไม่แพง และหุ้นที่ลงทุนในพอร์ต 25-30ตัว ส่วนอีก 15% เป็นการลงทุนแบบ Flexible ในการลงทุนกอง REITs กองทุนอสังหาฯ