นายโธมัส รูคมาเคอร์ ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มจัดอันดับเครดิตประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากฟิทช์ เรทติ้งส์ ฮ่องกง กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 2.4% ในปี 68 จาก 2.9% ในปี 67 และมีการบ่งชี้ถึงภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จากความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐที่มีมากขึ้นทำให้เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสำหรับประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ขณะที่การส่งออกของประเทศจีนยังคงทรงตัวได้ โดยบางส่วนเป็นการเปลี่ยนเป้าหมายการส่งออกไปยังประเทศปลายทางอื่น การเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอลงก็ส่งผลให้มาตรการรัดเข็มขัดทางการคลัง (fiscal consolidation) มีความล่าช้า เช่น ในกรณีที่ประชาชนในประเทศเกิดความไม่พอใจและนำไปสู่การประท้วงด้านธรรมาภิบาลหรืออัตราค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
ฟิทช์ได้การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสากลที่ "BBB+" ของประเทศไทย เป็นแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ จาก "แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ" ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อฐานะการคลังของประเทศจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่ยืดเยื้อ ประกอบกับอุปสงค์ในตลาดโลกที่ชะลอตัวลง การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ล่าช้า และการลดระดับหนี้ของภาคครัวเรือน (household develaging) สถานะทางการคลังของประเทศไทยได้ปรับตัวด้อยลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แม้ว่ารัฐบาลจะยังสามารถจัดหาเงินทุนเพื่อชดเชยการขาดดุลได้ด้วยต้นทุนต่ำเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอันดับเครดิตใกล้เคียงกัน ในขณะที่สถานะหนี้สินต่างประเทศ (external finance) ยังคงเป็นจุดแข็งที่สำคัญ
นายพาสันติ์ สิงหะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสถาบันการเงินของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มการดำเนินงานของภาคธนาคาร กำไรและคุณภาพสินทรัพย์ของภาคธนาคารไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มลูกหนี้ SME
ฟิทช์คาดว่าแนวโน้มการดำเนินงานในปี 69 จะยังคงมีความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอ การเติบโตของสินเชื่อในระดับต่ำ และอัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการรองรับความเสี่ยง (loss absorption buffers) เช่น อัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ และฐานะเงินกองทุน (core capital) ของภาคธนาคารยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับธนาคารในภูมิภาคและเกณฑ์มาตรฐานของฟิทช์ และยังเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนโครงสร้างเครดิตที่พิจารณาจากฐานะการเงินของตัวธนาคารเอง (standalone alone credit profile) แม้ว่าอันดับเครดิตสากลของประเทศไทยมี "แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ"