นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัยสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้ คาดดัชนีแกว่งออกข้างในกรอบ โดยภาพรวมเริ่มขาดปัจจัยหนุน สำหรับประเด็นต่างประเทศสถานการณ์ชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงมีอยู่แม้ไม่ได้มีผลกระทบเชิงลบโดยตรงต่อตลาดหุ้นไทย แต่ในระยะสั้นทำให้ขาดแรงขับเคลื่อนใหม่ เนื่องจากไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในคืนนี้จะถูกเลื่อนออกไป หากยังอยู่ในสถานการณ์ชัตดาวน์
นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่เมื่อคืนนี้ยังปรับลงต่อราว 2% จากความกังวลกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส จะปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ซึ่งจะกดดันหุ้นกลุ่มน้ำมันต่อได้ อย่างไรก็ตามคาดความชัดเจนจะมากขึ้นหลังการประชุม กลุ่มโอเปกพลัส
สำหรับปัจจัยในประเทศระยะสั้นคาดได้แรงหนุนจากความคืบหน้าการลงทุนภาครัฐ ซึ่งเมื่อวานนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้นำร่างขอบเขตของงาน (TOR) งานจ้างก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งจะเปิดรับฟังคำพิจารณ์ก่อน โดยประเด็นดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของโครงการต่าง ๆ ภาครัฐที่มีความคืบหน้า หนุนหุ้นที่เกี่ยวข้อง อาทิ CK STECON ทั้งนี้กลุ่มดังกล่าวมี Market Cap ที่เล็ก ส่งผลให้ภาพรวมของวันนี้ดัชนีเคลื่อนไหวแกว่งพักตัว
โดยให้กรอบแนวรับ 1,280 จุด และแนวต้าน 1,300 จุด
*ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (2 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,519.72 จุด เพิ่มขึ้น 78.62 จุด หรือ +0.17%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,715.35 จุด เพิ่มขึ้น 4.15 จุด หรือ +0.06% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,844.05 จุด เพิ่มขึ้น 88.89 จุด หรือ +0.39%
- ตลาดหุ้นเอเชียภาคเช้าเปิดผันผวน ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ระดับ 45,042.54 จุด เพิ่มขึ้น 105.81 จุด หรือ +0.24% และดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 27,221.46 จุด ลดลง 65.66 จุด หรือ -0.24%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 ต.ค.) 1,288.29 จุด เพิ่มขึ้น 13.26 จุด (+1.04%) มูลค่าซื้อขาย 35,286.71 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ (2 ต.ค.) 173.39 ล้านบาท
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. (2 ต.ค.) ลดลง 1.30 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 60.48 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค.
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 ต.ค.) อยู่ที่ 1.26 เหรียญ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.45 อ่อนค่าสอดคล้องภูมิภาค ไร้ปัจจัยใหม่ จับตาภาวะชัตดาวน์สหรัฐ
- "คลัง" ลุยแก้หนี้รายย่อย ถกแบงก์ชาติหย่อนเกณฑ์ เปิดแผนตั้งบริษัทบริหารหนี้ 3 รูปแบบ 1.แบงก์ใหญ่ตั้ง JV AMC ใหม่ 2.แบงก์ขนาดกลางโอนหนี้เข้า AMC รัฐ BAMSAM 3.แบงก์รัฐขนาดเล็ก โอนหนี้เข้า ARI AMC เล็งแก้เอ็นพีแอลรายย่อย 3.8 ล้านราย มูลหนี้รวม 1.2 แสนล้าน
- กทม.ลุยศึกษาเปิด PPP สัมปทาน "รถไฟฟ้าสายสีเขียว" หลังเตรียมหมดสัญญาเดิมในปี 2572 เบื้องต้นวางโมเดลเหมาะสมที่สุด PPP Gross cost กทม.กลับมาบริหารเอง และจ้างเอกชนเดินรถ คาดศึกษาโครงการแล้วเสร็จปีหน้าชง "มหาดไทย" พิจารณา ตั้งเป้าเปิดประมูล ปี 2571 ด้าน "บีทีเอส" ขอศึกษาเงื่อนไข ทีโออาร์ ก่อนตัดสินใจร่วมประมูล
- รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า เตรียมหารือนายกรัฐมนตรี เบื้องต้นกับการตัดสินใจเกี่ยวกับสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงิน 224,000 ล้านบาท ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด ผู้รับสัมปทาน หลังจากโครงการดังกล่าวล่าช้ามาหลายปี และส่งต่อการพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ด้วย
- 'พาณิชย์' เผยดัชนีราคาผู้ผลิตไทย เดือน ก.ย.68 หดตัวตามอุปทานส่วนเกินในตลาดที่สูงขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่า พร้อมประเมินแนวโน้มไตรมาส 4 ยังหดตัวต่อเนื่อง จากการแข่งขันที่ยังรุนแรงและบาทแข็งโป๊กต่อเนื่อง
- กระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรอง หักลดหย่อนภาษี 2 เท่าเข้าครม.กลางเดือนตุลาคม 2568 พร้อมเร่งการใช้จ่ายงบอบรมสัมมนาภาครัฐ 3-4 พันล้านบาท ภายใน 4 เดือนแรกปีงบ 2569
*หุ้นเด่นวันนี้
- บมจ. 88(ไทยแลนด์) เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "88TH" ในวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ราคา IPO หุ้นละ 5.45 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย IPO 324.275 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,158.125 ล้านบาท
- GPSC (ลิเบอเรเตอร์) ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 45 บาท คาดแนวโน้มไตรมาส 3/68 ยังมีโมเมนตัมที่ดี แรงหนุนจากต้นทุนก๊าซที่ปรับลดลงต่อเนื่อง และปริมาณขายไฟที่จะเพิ่มจากอุปสงศ์จากลูกค้า IU ที่หยุดซ่อมน้อยลง อีกทั้งยังได้ส่วนแบ่งจากโรงไฟฟ้าไซยะบุรีที่จะเพิ่มขึ้นในช่วง High Season และ Upside เพิ่มจากการปรับโครงสร้างในกลุ่ม PTT ในช่วงถัดไป
- ERW (คิงส์ฟอร์ด) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 3.21 บาท กำไรสุทธิไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 63 ลบ.(-83%YoY, -82%QoQ) กดดันจากปัจจัยตามฤดูกาล จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง และ 2Q67 มีฐานสูงจากกำไรพิเศษ ส่วนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง ไตรมาส 3/68 คาดว่าจะทะยอยฟื้นตัวได้ QoQ หนุนด้วยนักท่องเที่ยวในประเทศ มีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากมาตรการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" ขณะที่ 4Q68 ได้แรงหนุนตามฤดูกาล และลุ้นม.เพิ่มเติมของรัฐฯ ปัจจุบัน ตลาดคาด กำไรสุทธิปี68และ69 ของ ERW* ที่ 855 ลบ.(-33%YoY) และ 919 ลบ.(+7%YoY)
- CK (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐาน 21.50 บาท เรามีมุมมองเชิงบวกต่อเนื่องกับ CK จากการเร่งเบิกจ่ายของงบประมาณปี 2025 หลังรมว.คมนาคม ตั้งเป้าเบิกครบ ก.ย.นี้ พร้อมเร่งลงนาม5,137 โครงการ วงเงิน 4.7 หมื่นล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะงบปี2026 ได้รับ 2.65 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% เน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ 22 โครงการ วงเงินรวม 9.1 แสนล้านบาท ในขณะเดียวกันคาดรายได้ใน 2H25 จะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องจากการรับรู้โครงการใหม่และคาดว่าจะสามารถได้โครงการใหม่เช่น รถไฟความเร็วสูงไทยจีนเฟส 2 และ โครงการทางด่วน double-deck เช่นกัน