TISCO เผย Q3/68 กำไรโต 1% YoY,5.3% QoQ แม้ตั้งสำรองสูง-เน้นคุม NPL ต่อเนื่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 14, 2025 15:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

TISCO เผย Q3/68 กำไรโต 1% YoY,5.3% QoQ แม้ตั้งสำรองสูง-เน้นคุม NPL ต่อเนื่อง

นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป [TISCO] กล่าวว่า ในไตรมาส 3/68 กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิ 1,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 1.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ ในขณะที่ยังคงตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) ในระดับสูงตามแผนที่วางไว้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง ทั้งนี้ การเติบโตของธุรกิจควบคู่กับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับผลประกอบการโดยรวม สะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) ในระดับ 16.6%

ไตรมาส 3/68 รายได้รวมเติบโต 10.0% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 3.0% จากต้นทุนเงินทุนที่ปรับลดลงเนื่องมาจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยขยายตัว 25.9% ในทุกธุรกิจ รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นจากธุรกิจนายหน้าประกันภัย (Bancassurance) ตามปริมาณการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ปรับตัวดีขึ้น

ปริมาณการปล่อยสินเชื่อรถใหม่ในงวด 9 เดือนแรกเติบโตถึง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมทั้งรายได้ที่เกี่ยวกับสินเชื่ออื่นเติบโตเช่นกัน รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นตามภาวะตลาดทุนไทยที่ฟื้นตัว รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุนขยายตัวจากการเติบโตของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและการออกกองทุนรวมใหม่ในระหว่างไตรมาส

นอกจากนี้บริษัทมีกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นตามมูลค่าพอร์ตเงินลงทุนที่สูงขึ้น ในงวดนี้ บริษัทตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss-ECL) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.4% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย เพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ยังคงดำเนินการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวม (Cost-to-income Ratio) อยู่ที่ 43.4%

ผลกำไรงวดไตรมาส 3/68 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/67 เพิ่มขึ้น 1% จากรายได้รวมที่เติบโต 10.1% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 1.3% จากต้นทุนเงินทุนที่ปรับลดลง ประกอบกับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโต 31.6% จากรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้น ทั้งธุรกิจนายหน้าประกันภัยและรายได้ที่เกี่ยวกับสินเชื่ออื่นๆ รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุนขยายตัวจากธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนรวม รวมทั้งบริษัทมีกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ชะลอตัวลงตามปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 0.3%

ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 68 มีจำนวน 5,017 ล้านบาท ลดลง 3.5% เมื่อเทียบกับงวด 9 เดือนแรกของปี 67 เป็นผลมาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่สูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.0% ของสินเชื่อเฉลี่ย สอดคล้องกับแผนการตั้งสำรองกลับสู่ระดับปกติในปีนี้และรองรับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง

รายได้รวมเติบโต 2.2% จากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ทั้งธุรกิจนายหน้าประกันภัย ธุรกิจจัดการกองทุน พร้อมด้วยการรับรู้ผลกำไรจากพอร์ตเงินลงทุน อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์อ่อนตัวลง จากผลกระทบจากภาวะตลาดทุนที่อ่อนแอ ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 2.8% จากแผนการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

เงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 ก.ย. 68 มีจำนวน 230,409 ล้านบาท ลดลง 0.8% จากสิ้นปี 67 สาเหตุหลักมาจากการชำระคืนหนี้ของสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่ ในขณะที่สินเชื่อรายย่อยเริ่มกลับมาเติบโต จากสินเชื่อเช่าซื้อรถมือสองและสินเชื่อมอเตอไซค์ รวมถึงการขยาย Penetration Rate ในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่

บริษัทยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อท่ามกลางสภาวะหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการให้การช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งผลให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ลดลงมาที่ 2.3% ของสินเชื่อรวม และรักษาระดับค่าเผื่อสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Coverage Ratio) อยู่ที่ 171%

ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 20.9% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.8% และ 2.2% ตามลำดับ

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีว่า ยังคงอ่อนแรงต่อเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะมาตรการเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐที่ 19% อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ยังต่ำกว่าคาด ปัญหาหนี้ครัวเรือน และค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งล้วนเป็นแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

กลุ่มทิสโก้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 1.9-2.1% ในปี 68 และลดลงเหลือ 1.6-1.8% ในปี 69 ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังคงปกคลุมเศรษฐกิจ กลุ่มทิสโก้ยังคงยึดมั่นในแนวทางการเติบโตอย่างมีคุณภาพ พร้อมปรับตัวและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อดูแลลูกค้าอย่างเหมาะสมในทุกสถานการณ์ พร้อมเดินหน้าพัฒนาบริการที่ปรึกษาทางการเงินอย่างครบวงจร ภายใต้บทบาท "Your Trusted Financial Advisor" ที่พร้อมเคียงข้างลูกค้าในทุกช่วงชีวิต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ