มองมุมต่าง: "ทองคำ" ขึ้นเพราะ "พื้นฐาน" หรือ "อารมณ์ตลาด" สำรวจจุดเสี่ยง Gold Bubble

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 17, 2025 13:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

มองมุมต่าง:

การคาดคะเนว่า "ฟองสบู่ทองคำ" จะแตกนั้น มีความเป็นไปได้ทั้งสองทาง แต่สำหรับสถานการณ์ราคาทองคำ Gold Spot ที่พุ่งสูง 4,379 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ ทรอยออนซ์ ถือเป็นการปรับตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดข้อสงสัยถึงความเป็นไปได้ที่ราคาทองคำ อาจจะไม่ปรับตัวขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ตามแรงเชียร์ที่มีเข้ามาอย่างหนาแน่น จนราคาพุ่งแบบไม่มีที่สิ้นสุด

เรามาดูเงื่อนไข หรือ บริบทของคำว่า "ฟองสบู่ทองคำ" (Gold Bubble) กัน

ฟองสบู่ทองคำ คือ สถานการณ์ที่ราคาทองคำ ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และพุ่งเกินมูลค่าพื้นฐานความจริงของมัน

มองมุมต่าง:

เนื่องจากแรงเก็งกำไรหรือความคาดหวังของตลาดจะถูกดันให้มีมากกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อาทิ ต้นทุนการผลิต ความต้องการใช้ทองจริง หรือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ

หากอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ การที่ราคาทองคำ "ขึ้นแรงเกินเหตุ" เพราะนักลงทุนแห่ซื้อด้วยความกลัวพลาดโอกาส หรือที่เรียกว่า Fear of Missing Out (FOMO)

ในบริบทการลงทุนทองคำช่วงนี้ ถือเป็น "อารมณ์" หรือ "พฤติกรรม" ที่นักลงทุนต่างรีบเข้าซื้อทอง เพียงเพราะเห็นว่าคนอื่นกำลังได้กำไร หรือกลัวว่าจะพลาดโอกาสที่จะรวย

พูดง่าย ๆ คือ ลงทุนเพราะกลัวตกขบวน ไม่ใช่เพราะวิเคราะห์เหตุผลจริงจัง ไม่ว่า การเห็นราคาทองพุ่ง แรง ก็รีบซื้อโดยไม่สนใจ ข้อเท็จจริงของการปรับตัวขึ้น และเป็น FOMO ที่มากกว่า เหตุผลทางพื้นฐาน

จนสุดท้ายเมื่อความคาดหวังแตก ราคาก็ร่วงแรง เหมือน "ฟองสบู่แตก"

*ทำไม FOMO ถึงอันตราย

1.ซื้อตอนราคาสูงสุด เข้าตลาดช้า พอความร้อนแรงหมด ราคามักย่อตัวแรง

2.ตัดสินใจด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล ละเลยการวิเคราะห์ความเสี่ยงหรือพื้นฐาน

3.เกิดวงจร "ความโลภ" ผสมกับ "ความกลัว"

เนื่องจาก ตอนขึ้น กลัวพลาด หรือตกรถ (ซื้อ) ตอนลง กลัวขาดทุน (ขาย)

สุดท้ายกลายเป็น ซื้อแพง แต่ขายถูก

เราเคยเห็นตัวอย่างสถานการณ์ในอดีตที่เกี่ยวกับฟองสบู่ทองคำหลายครั้ง อาทิ

ในปี 1980 ราคาทองคำพุ่งแตะประมาณ 850 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ จากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและสงครามเย็น แต่หลังจากนั้นราคาร่วงลงเกือบ 60% ภายใน 2 ปี

ต่อมาในปี 2011 หลังวิกฤตการเงินโลก 2008 นักลงทุนแห่ซื้อทองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ราคาทองแตะจุดสูงสุดราว 1,900 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ แล้วร่วงต่อเนื่องจนเหลือไม่ถึง 1,100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ในปี 2015 เป็นต้น

นอกจากนี้ สัญญาณที่บ่งชี้ว่า "ฟองสบู่ทองคำ" กำลังก่อตัวแบบบางๆ คือ นักลงทุนทั่วไป (รายย่อย) เริ่มพูดถึงความเคลื่อนไหวของทองคำมากผิดปกติ

ราคาทองขึ้นแรงโดยไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจรองรับ และมีปริมาณการซื้อขาย (volume) พุ่งเกินกว่าปกติ

มีข่าวสื่อหรือโซเชียลเริ่มพูดว่า "ทองไม่มีวันลง" หรือ "สินทรัพย์ที่ไร้ความเสี่ยง" ฯลฯ

รวมถึง สถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแห่ง เริ่ม "ขายออก" แทนที่จะ "ซื้อเพิ่ม"

สำหรับความเป็นไปได้ที่ "ฟองสบู่ทองคำ" จะเกิดนั้น มีปัจจัยสนับสนุน ดังนี้

1.งานวิจัยบางชิ้นพบหลักฐานว่าตลาดฟิวเจอร์สทองคำแสดงลักษณะการก่อตัวของฟองสบู่ (bubble formation) ในช่วงหลังวิกฤตการเงินโลก (post-GFC)

2.มีคนเก็งกำไรมาก ราคาทองคำอาจเพิ่มขึ้นเกินระดับที่ปัจจัยพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นอุปสงค์-อุปทาน, อัตราดอกเบี้ย, ค่าเงิน ที่จะสามารถรองรับได้

3.สถิติราคาทองคำในหลายปีที่ผ่านมามีการปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง และมีผู้ตั้งคำถามว่าทองคำอาจอยู่ในภาวะ "overbought" (ซื้อมากเกินไป)

ปัจจัยที่ทำให้ "ฟองสบู่" แตกได้ คือ ถ้านโยบายการเงินเปลี่ยน เช่น ดอกเบี้ยสูงขึ้น, สภาพคล่องตึงตัว, การลดการพิมพ์เงิน

ถ้าความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง หันออกจากทองคำ ไปยังสินทรัพย์อื่น

ถ้าความต้องการทองคำจากธนาคารกลาง หรือประเทศใหญ่ลดลง (เช่น จีน, อินเดีย) ซึ่งอาจเป็นตัวหนุนหลัก

ถ้าปัจจัยเศรษฐกิจโลกเปลี่ยน เงินเฟ้อลด, เสถียรภาพเศรษฐกิจกลับมา ทำให้ทองคำไม่น่าสนใจเท่ากับในสถานการณ์เสี่ยงในตอนนี้

ทั้งนี้ ทองคำ มีความไม่แน่นอนและข้อจำกัดในด้านของผลตอบแทนในตัวเอง เช่น ดอกเบี้ย, เงินปันผลจึงยากที่จะประเมิน "มูลค่าพื้นฐาน" ที่แน่ชัด ซึ่งหมายความถึง คือเราไม่สามารถที่จะบอกว่าราคาทองในปัจจุบัน "สูงเกินจริง" หรือไม่ เพราะเราไม่สามารถประเมิน ดีมานด์ได้เลย

ถ้าราคาทองคำเพิ่มขึ้นมีเหตุผลสนับสนุน เช่น ความเสี่ยงทางการเงิน, ความผันผวนค่าเงิน, ความต้องการหลบภัย (safe haven) ก็อาจเป็นแนวโน้มราคาขาขึ้น "ปกติ" ไม่ใช่แค่ฟองสบู่

สำหรับสถานการณ์ "ฟองสบู่" เมื่อแตกมักจะไม่มีสัญญาณที่แสดงชัดเจนเต็มที่ก่อนล่วงหน้า การคาดการณ์เวลา "แตก" จึงมักจะผิดพลาดเสมอ

*วิธีป้องกัน FOMO จาก ราคาทองพุ่งนิวไฮ

1.วางแผนลงทุนล่วงหน้า กำหนด "เมื่อไหร่จะซื้อ-เมื่อไหร่จะขาย" ตามเหตุผล ไม่ใช่ตามอารมณ์

2.เข้าใจมูลค่าที่แท้จริง ศึกษาพื้นฐานสินทรัพย์ ว่าราคาที่เห็น "สมเหตุสมผลไหม"

3.มองระยะยาวแทนระยะสั้น ถ้าลงทุนระยะยาว ความผันผวนระยะสั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่

4.จำไว้ว่า การลงทุนในทุกตลาด มักจะมีรอบของมันเสมอ โอกาสไม่ได้มีครั้งเดียว การพลาดรอบหนึ่งดีกว่าเจ็บหนักเพราะซื้อผิดจังหวะ

5.ฝึก "FOMO Control" เวลารู้สึกอยากซื้อเพราะคนอื่นกำลังพูดถึง ให้หยุด 1 วัน แล้วค่อยตัดสินใจ

นักลงทุนที่ดี มักไม่วิ่งตามกระแส แต่ "รอจังหวะของตัวเอง" เพราะเข้าใจว่าทุกตลาดมีขึ้น-ลงเสมอ

ธิติ ภัทรยลรดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ