
สาเหตุที่หุ้นไอพีโอ (Initial Public Offering) "ต่ำจอง" หรือ เปิดตลาดวันแรกต่ำกว่าราคาจองซื้อมักมีหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งเชิงพื้นฐานของบริษัทและสภาวะตลาดในขณะนั้น
โดยสามารถแบ่งได้เป็น 5 ปัจจัยหลักดังนี้
1.ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไอพีโอ
1.1 มูลค่าราคาจองหุ้นสูงเกินไป (Overvaluation) ที่ปรึกษาทางการเงินหรือ ผู้จัดจำหน่าย อาจตั้งราคาจองไว้สูงเกินมูลค่าที่นักลงทุนมองว่าหุ้นตัวนั้นควรมี ทำให้เมื่อเข้าซื้อขาย นักลงทุนในตลาดรองไม่มีใครเข้ามาซื้อ หรือยอมจ่ายในราคาไอพีโอ หรือสูงกว่านั้น
โดยส่วนใหญ่ เรามักเห็นราคาจองหุ้นไอพีโอจะถูกใช้อ้างอิงกับ "มูลค่าที่เหมาะสม" จากการเปรียบเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันที่มีอยู่แล้วในตลาดหุ้น
แต่หลายครั้งราคาเหล่านั้น ก็เป็นการสะท้อนความคาดหวังในอนาคตมากเกินไป ทำให้นักลงทุนที่ได้สิทธิจองมักรู้ว่าราคานั้น "เต็มมูลค่า" แล้ว พอเข้าตลาดจริง ความต้องการที่จะมาซื้อต่อในกระดานจึงมีไม่มาก ราคาจึง "เปิดต่ำกว่าจอง"
1.2 งบการเงิน หรือ แนวโน้มกำไร ไม่โดดเด่น หากบริษัทใดก็ตามมีผลประกอบการเติบโตไม่ชัดเจน หรือมีความเสี่ยงจากรายได้ หรือมีหนี้สินสูง นักลงทุนอาจไม่มั่นใจและขายทำกำไรทันทีที่เปิดตลาด
1.3 ขาดความน่าสนใจเชิงธุรกิจหรือโมเดลไม่ชัด สำหรับหุ้นไอพีโอที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ซบเซา หรือขาดจุดเด่นในการแข่งขัน มักไม่เป็นที่ต้องการของตลาด หรือธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงชะลอตัว เช่น เทคโนโลยีบางกลุ่ม, พลังงานทดแทนบางประเภท
ราคาหุ้นมักถูกเทขายต่อเนื่อง เพราะตลาดมองว่า "ยังไม่ถูกพอ" หรือ"แพงเกินไป"
2.ภาวะตลาดโดยรวม (Sentiment) ถ้าตลาดหุ้นโดยรวมอยู่ในช่วงของการเผชิญหน้ากับความเสี่ยงต่างๆ อาทิ การเมือง หรือ ตลาดหุ้นมีท่าทีที่จะอ่อนแรง หุ้นไอพีโอ มักโดนกระทบอย่างหนัก
เนื่องจาก นักลงทุนจะไม่ยอมเสี่ยงกับหุ้นใหม่ที่ยังไม่มีผลประกอบการพิสูจน์ หรือถึงประวัติการจ่ายเงินปันผล รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริหารที่ไม่คุ้นชิน
ทั้งนี้ หากตลาดหุ้นโดยรวมอยู่ในช่วงขาลง หรือมีความผันผวนสูง รวมถึงวอลุ่มหดหาย ประเด็นเหล่านี้ ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการมีข่าวเศรษฐกิจไม่ดี ดอกเบี้ยสูงมากดดัน จะยิ่งทำให้โอกาสเปิดต่ำจองมีสูง เพราะแรงซื้ออ่อนแอ
นอกจากนี้ การมีสภาพคล่องในตลาดต่ำ นักลงทุนมีเงินสดในระบบน้อย หรือ เน้นถือพันธบัตร หรือ เงินฝาก ทำให้ความต้องการหุ้นใหม่ลดลง
3.ปัจจัยเชิงพฤติกรรมและการเก็งกำไร
3.1 นักลงทุนจองหุ้นไอพี่โอส่วนใหญ่หวังเก็งกำไรระยะสั้น (Flip) แต่จะมีเพียงส่วนน้อยที่จะถือลงทุนยาว การที่มีสัดส่วนของการเก็งกำไรระยะสั้นสูงกว่า ทำให้เกิดแรงขายมากกว่าซื้อ จึงเป็นที่มาของการกดดันราคาหุ้นให้ร่วงลง
3.2 แรงกดดันจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม หากผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือพนักงานที่ได้หุ้นในราคาต่ำกว่าราคาจองไอพีโอจะสร้างแรงจูงใจด้านฝั่งขายให้มีเพิ่มขึ้นมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีประเด็น ภาพลักษณ์ และ กระแสในตลาดไม่ดี หากช่วงก่อนเข้าซื้อขายมีข่าวลือหรือกระแสเชิงลบ เช่น การนำหุ้นเดิมมาขาย , หุ้นเดิมไม่มีติด lock up , ความโปร่งใสของผู้บริหารหรือปัญหาทางธุรกิจ สิ่งเหล่านี้จะกดดัน ความต้องการซื้อหุ้นในกระดานให้ลดลง เช่นกัน
4. จิตวิทยา "พลาดโอกาส" กลับกลายเป็น "หนีตาย" เมื่อราคาวันแรกเปิดต่ำกว่าราคาจองไอพีโอ นักลงทุนรายย่อยที่จองไว้จะรู้สึกผิดหวังและเริ่มขายออกทันทีเพื่อจำกัดการขาดทุน (cut loss)
ในเชิงจิตวิทยา การคิดว่าพลาดโอกาส (FOMO) หรือ กลัวตกรถ ต้องรีบแห่เข้าไปซื้อนั้น ถูกเปลี่ยนไปเป็น "หนีตาย" หรือ cut loss หลังเห็นราคาเปิดต่ำจอง ทำให้เกิดการเทขายพร้อมกัน รวมถึงการเห็นแนวโน้มลงต่อก็จะไม่กล้าเข้ามาซื้อ
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า "ไม่มีแรงรับ" มีแต่ "แรงขาย" จึงทำให้เกิด "โดมิโน"ของราคาหุ้นที่ไหลลงอย่างรวดเร็ว
5. ขาด "แรงพยุงราคา" จากเจ้าของ หรือ ผู้จัดจำหน่าย
หุ้นไอพีโอบางตัว ที่มีการวางแผนที่ดี มักมี stabilization fund หรือกองทุนพยุงราคาในช่วงแรก โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน ต้องมีการเตรียมพร้อมในเรื่องดังกล่าว
รวมถึง เป็นการควบคุมสถานการณ์ และจิตใจของนักลงทุนที่มีหุ้นจองอยู่ในมือ ไม่ให้เกิดอุปทานหมู่ หรือ panic sell เทขายหุ้นถล่มออกมาพร้อมๆ กัน
สิ่งเหล่านี้ ถือเป็น 5 ปัจจัยหลักที่นักลงทุน รวมถึงกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับการนำหุ้นไอพีโอเข้ามาเทรดในตลาดหุ้นควรสนใจเพื่อจะได้รับการตอบรับที่ดี และไม่สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนที่ได้สิทธิจองไอพีโอ
ธิติ ภัทรยลรดี