นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ. กลุ่มสมอทอง [SMO] เปิดเผยว่า SMO แต่งตั้ง บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) และมี บล.ดาโอ (ประเทศไทย) บล.บียอนด์ บล.ไอร่า บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) บล.โกลเบล็ก , บล. เคจีไอ (ประเทศไทย), บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง , บล.กรุงศรี , บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย), บล.เอเซีย พลัส, บล. พาย เป็นผู้ร่วมเป็นผู้จัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APM กล่าวว่า SMO จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 231.60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หรือพาร์หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 25.17% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อใช้ลงทุนเพิ่มในธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ ลงทุนในโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม รวมถึงชำระคืนเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ
สำหรับผลประกอบการของ SMO มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 65-67 บริษัทมีรายได้รวม 6,870.42 ล้านบาท 5,894.14 ล้านบาท และ 6,261.09 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น 129.52 ล้านบาท 218.78 ล้านบาท และ 259.62 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 1.89% 3.71% และ 4.14% ตามลำดับ
ขณะที่งวด 6 เดือนปี 68 บริษัทมีรายได้รวม 4,965.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 518.51 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 10.55% โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 305% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า เรามั่นใจในศักยภาพของ SMO ที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง ทั้งด้านผลประกอบการ การบริหารจัดการ และแผนการลงทุนเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ซึ่งการกำหนดราคาเสนอขาย 5.40 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 7.6 เท่า โดยบริษัทมีกำไรต่อหุ้นในรอบ 12 เดือนล่าสุด เท่ากับ 650.32 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดจำนวน 920,000,000 หุ้น จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.71 บาทต่อหุ้น (Fully Diluted) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ที่มีอัตรา P/E Ratio เฉลี่ยอยู่ที่ราว 9.8 เท่า สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตและความน่าสนใจของหุ้น SMO ในเชิงมูลค่า
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ และจะเปิดจองซื้อในวันที่ 31 ต.ค. และ 3-4 พ.ย. คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ภายใต้ชื่อย่อในการซื้อขาย SMO
นายกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SMO เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง รวมถึงธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพที่จำหน่ายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยมีกำลังการผลิตรวมกว่า 240 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง และผลิตไฟฟ้ารวม 14.38 เมกะวัตต์ (PPA) 12.7 เมกะวัตต์ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นคงทั้งด้านอาหารและพลังงานให้ประเทศ
จุดแข็งสำคัญของ SMO คือ ประสบการณ์ในการทำธุรกิจอย่างยาวนาน และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของผู้บริหารแต่ละท่านที่รวมกันได้อย่างลงตัวมากว่า 20 ปี เป็นผลให้กลุ่มบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้ต่อเนื่อง โดยมีช่องทางในการขายสินค้าทั้งในและต่างประเทศช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการขาย และลดการพึ่งพิงการบริโภคภายในประเทศ ประกอบกับมีฐานลูกค้าเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และรวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยน้ำมันปาล์มยั่งยืน (Roundtable Sustainability Palm Oil: RSPO)
บริษัทมีกลยุทธ์หลัก คือ ทำเลโรงงานที่ตั้งใกล้แหล่งวัตถุดิบสำคัญ 4 แห่ง ประกอบด้วย 1.โรงงาน อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี รับซื้อผลปาล์มสดจากภาคใต้ฝั่งตะวันออก 2.โรงงาน อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี ฐานการผลิตเพื่อส่งออกของกลุ่มบริษัทเนื่องจากมีพื้นที่อยู่ใกล้กับท่าเรือน้ำลึกจังหวัดภูเก็ต 3.โรงงาน จ.สระบุรี รับซื้อผลปาล์มสดจากภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4. โรงงาน AL จ.ชุมพร รับซื้อผลปาล์มสดภาคใต้ตอนบน
"SMO พร้อมเดินหน้าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อยกระดับองค์กรสู่ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทย มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ สร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนให้ผู้ถือหุ้น และเติบโตไปพร้อมกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม" นายกิตติพงษ์ กล่าว