นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส (ASPS) ประเมินไตรมาส 4/68 แม้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา GDP โลกเติบโตเฉลี่ยเพียง 2.8% ต่ำกว่าทศวรรษก่อนหน้า แต่ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) ขณะเดียวกัน IMF ได้ปรับคาดการณ์ GDP ของหลายประเทศขึ้นเล็กน้อยจากผลของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและการตอบโต้ภาษีที่เบากว่าคาด
ด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักทั่วโลกเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ต้นปี 68 ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และอีก 1 ครั้งในปี 69 ส่งผลให้ส่วนต่างผลตอบแทนพันบัตร (Bond Yield) ไทยสหรัฐฯ แคบลง หนุนให้เงินบาทแข็งค่า และอาจกระตุ้นให้เกิด Fund Flow ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยบางส่วน โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มลดลง
ในส่วนของตลาดทุน ASPS คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนปี 68 จะอยู่ที่ประมาณ 1.06 ล้านล้านบาท (EPS เฉลี่ย 86 บาท/หุ้น) โดยครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 5.9 แสนล้านบาท มีโอกาสสอดคล้องกับเป้าหมาย ขณะที่ตลาดทุนทั่วโลกยังคงขับเคลื่อนด้วย "สภาพคล่องล้นระบบ" (Liquidity Driven Rally) เงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงและทองคำมากเป็นพิเศษในเดือน ก.ย. โดยมีเม็ดเงินไหลเข้า ETF รวมกว่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์ และเฉพาะกองทุนทองคำกว่า 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าสูงสุดในประวัติการณ์ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่ต่างชาติเริ่มสลับมาซื้อสุทธิมากขึ้นในช่วงต้นไตรมาส 4/68
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นโลกเริ่มมีมูลค่าค่อนข้างแพง (Valuation ตึงตัว) โดยเฉพาะสหรัฐที่มีระดับการใช้มาร์จิ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนแรงเก็งกำไรสูง อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกและไทยอาจผันผวนแรงในบางจังหวะเวลาที่มีประเด็นลบเข้ามา
นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย ADPS ระบุว่า ยังคงเป้าหมาย SET ปีนี้ที่ 1,376 จุด (EPS 89 บาท/หุ้น, P/E 16 เท่า อิง MEYG +1.5 SD) กลยุทธ์แนะนำสะสมหุ้น 5 ธีม คือ หุ้น China Play รับการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน SCGP, IVL, หุ้น Tariff Play WHA, หุ้นรับการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย CPAXT, หุ้นได้ประโยชน์บาทแข็งค่า GULF, BPP (เก็งกำไรมีโอกาสเข้า SET100 รอบ 1H69) และเก็งกำไรหุ้นประกันได้ประโยชน์ Bond Yield ดีด BLA
ส่วนภาพรวมตลาดโลกมีสัญญาณ "ร้อนแรงเกินจริง" สะท้อนจากตลาดหุ้นหลายประเทศ รวมถึงราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ในปีนี้ และเริ่มมีความกังวล "AI Bubble" อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ แต่ยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาด และสภาพคล่องที่ล้นระบบ ส่วนตลาดหุ้นจีนยังมีสัญญาณเศรษฐกิจจริงที่อ่อนแรง ต้องการมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม แต่ภาค Data Center ของจีนยังเติบโตต่อเนื่อง นำโดย Alibaba นอกจากนี้ยังมีข่าวดีจาก ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ถูกประกาศเข้าสู่ดัชนี FTSE Emerging Market เมื่อ 7 ต.ค.68 ซึ่งจะมีผลจริงใน ก.ย.69 คาดว่าจะดึงดูดเงินทุนต่างชาติไหลเข้าได้ราว 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับ EPS ของ VN Index ปรับขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ค่า P/E ปี 68 ยังอยู่ในระดับต่ำ (10.7 เท่า)
ด้านตลาดพันธบัตร ทีมผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Bond Yield) ที่อยู่ต่ำกว่า 2.50% ยังมีโอกาสปรับลดลงได้อีก แต่ต้องระมัดระวังการ "กลับตัว" ของตลาด เนื่องจากสัญญาณการลงทุนในตราสารหนี้ไทยเริ่มชะลอ นักลงทุนหันมาซื้อแบบ "Selective Buy" มากขึ้น จากความกังวลต่อคุณภาพผู้ออกหุ้นกู้และการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 68 มีผู้ออกตราสารหนี้ผิดนัดชำระแล้ว 6 ราย และขอเลื่อนชำระอีก 12 ราย รวม 16 ราย ส่งผลให้ความต้องการลงทุนเน้นหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตตั้งแต่ BBB+ ขึ้นไป และอายุไม่เกิน 1 ปี ขณะเดียวกัน หุ้นกู้ไม่มีวันครบกำหนด (Perpetual Bonds) ของบริษัทที่มีชื่อเสียงและอายุคงเหลือไม่เกิน 3 ปี ยังคงเป็นที่ต้องการ หากให้ผลตอบแทนมากกว่า 3.50% ส่วนตราสารหนี้ที่ออกใหม่ในตลาดแรก ควรมีผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 4.505.00% เพื่อดึงดูดนักลงทุน
โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/68 มูลค่าตลาดตราสารหนี้ไทยรวมอยู่ที่ 17.7 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% จากปีก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของพันธบัตรภาครัฐ ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวลดลง 9.1% เหลือมูลค่าการออก 640,002 ล้านบาท ทั้งกลุ่ม Investment Grade (-8.8%) และ High Yield (-13.5%)
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าคงค้างสูงสุดยังคงเป็น พลังงาน, การเงิน, อสังหาริมทรัพย์, พาณิชย์ และ อาหารและเครื่องดื่ม (แทน ICT ที่หล่นจากอันดับ 5) รวมกันคิดเป็น 61% ของตลาด ขณะที่หุ้นกู้กลุ่มอันดับเครดิต A ยังมีสัดส่วนสูงสุด และกว่า 94% ของตลาดยังคงเป็น Investment Grade
นางสาวลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง ASPS มองว่า ช่วงไตรมาส 4/68 ถึงไตรมาส 1/69 ตลาดตราสารหนี้จะ "แกว่งตัวแบบฟันปลา" มีจังหวะขึ้นลงสลับกัน โดยปัจจัยสำคัญคือแนวโน้มการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยจาก 1.50% เหลือ 1.25% ในเดือ ธ.ค. และอาจลดต่อถึง 1.00% ในปีหน้า หากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นเต็มที่
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยช่วงต้นเดือนตุลาคมเริ่มมีการดีดตัวขึ้น หลังทำจุดต่ำสุดที่ 1.15% ขยับมาที่ 1.22% โดยพันธบัตรอายุยาว 46 ปี (LB726A) เคยแตะต่ำสุด 2.025% ก่อนรีบาวด์ขึ้นสู่ 2.402.45% ซึ่ง ASPS ประเมินว่าการปรับขึ้นรอบนี้ไม่น่าทะลุ 2.50% เพราะตลาดเริ่มคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของแบงก์ชาติไว้ล่วงหน้าแล้ว
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำสำหรับการลงทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คือ "จับจังหวะ" ซื้อตราสารหนี้อายุกลางในช่วงตลาดปรับฐาน เพื่อทำกำไรระยะสั้น โดยหากลงทุนเพื่อเทรด ควรเลือกพันธบัตรรัฐบาลที่เป็น Benchmark (On-the-run) ส่วนผู้ที่ถือยาว (Buy and Hold) ให้เน้น Perpetual Bonds หรือหุ้นกู้ที่มีเครดิตไม่ต่ำกว่า BBB อายุไม่เกิน 1-2 ปี โดยเฉพาะในกลุ่ม อาหารและเครื่องดื่ม การแพทย์ และเกษตร ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิต