นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทุนของ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) ที่เป็นผู้ได้รับสัมปทานโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกในพื้นที่ EEC กล่าวว่า แม้ว่าที่ผ่านมา 5 ปี 5 เดือน UTA ยังไม่ได้เริ่มลงทุนหรือก่อสร้าง แต่ล่าสุด UTA ได้เซ็น MOU ใหม่กับทาง EEC เพื่อเดินหน้าโครงการ โดย UTA ได้ต่อเวลาให้กับ EEC ถึงเดือนธ.ค.นี้เพื่อสรุปสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในสัญญา โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ทางภาษีใน Free trade Zone ซึ่ง EEC จะกำหนดให้ชัดเจนและอนุมัติให้กับ UTA เพื่อเดินหน้าลงทุนต่อไป ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้ให้ความสำคัญการลงทุนดังกล่าว และจะเดินหน้าต่อเนื่อง
หากสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในสัญญาเริ่มได้ เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถชักชวนนักลงทุนต่างชาติเช้ามาลงทุนในโครงการนี้ได้ อย่างไรก็ดี จากภาวะเศรษฐกิจของโลกจะชะลอตัว และการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ UTA จะลดขนาดอาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภาลงมาเหลือ 3 ล้านคน/ปี จากเดิมที่ 12 ล้านคน/ปี แม้ก่อนหน้านี้สนามบินอู่ตะเภาถูกวางให้เป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่ 3 ก็ตาม
ทั้งนี้ นายคีรี ย้ำกว่า ประเด็นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-อู่ตะเภา) ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้าง และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ควรได้ตามสัญญาจะได้ข้อยุติ คาดว่าในเดือนธ.ค.นี้จะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น
นายคีรี กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกเป็นโครงการที่ดีมาก ประเทศชาติควรเร่งให้เกิดโดยเร็วที่สุด โครงการนี้มีการประมูลถูกต้อง มีเอกชนหลายรายสนใจร่วมประมูล การลงทุนโครงการมีไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งมีเพียงอัตราผลตอบแทน (IRR) 10.2% หากสิทธิประโยชน์ทางภาษีของไทยได้ไม่มากกว่าประเทศอื่นก็ได้ เพราะเชื่อว่าท่องเที่ยวไทยมีเสน่ห์ของไทยไม่น้อยไปกว่าประเทศอื่น
"อยากให้รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญอันนี้ผลักดันให้มันเกิด UTA ที่มีผู้ถือหุ้นทั้ง 3 บริษัท เรายังมั่นใจว่าเรายังเดินหน้าทำโครงการนี้ให้เกิดเร็วที่สุด"ทั้งนี้ หากโครงการนี้ได้เริ่มเดินหน้า จะเริ่มลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายในโครงการก่อน คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 2 หมื่นล้านบาท
อนึ่ง UTA มีผู้ถือหุ้น 3 ราย ได้แก่ บมจ. การบินกรุงเทพ [BA] บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ [BTS], และบมจ.สเตคอน กรุ๊ป [STECON]