 
นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ [TFM] เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68 ยอดขายและกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากความแข็งแกร่งของหลายกลุ่มธุรกิจ โดยมียอดขาย 1,694 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แรงหนุนหลักมาจากผลิตภัณฑ์อาหารกุ้งเพิ่มขึ้นจากความต้องการในประเทศที่แข็งแกร่งของลูกค้ารายสำคัญ รวมถึงยอดส่งออกจากไทย ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารปลา มียอดขายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากแรงหนุนของปริมาณขายอาหารปลากะพงที่เพิ่มขึ้น สะท้อนการขยายส่วนแบ่งตลาดและความเป็นผู้นำของ TFM ในตลาดอาหารปลากะพงอย่างต่อเนื่อง
ด้านกำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ทำได้ 370 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 21.8% เพิ่มขึ้น 2.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากยอดขายที่สูงขึ้น การปรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์ไปสู่กลุ่มที่มีมาร์จิ้นสูง และต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลงเหลือ 7.1% จาก 7.9% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพการควบคุมต้นทุน
อีกทั้งอัตราภาษีที่แท้จริงลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลังจากเริ่มรับรู้สิทธิประโยชน์ BOI สำหรับการผลิตอาหารกุ้งที่โรงงานสงขลา และอาหารปลาที่โรงงานสมุทรสาคร ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.8%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิที่ 13.2% สะท้อนประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังคงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 0.46 เท่า
ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มียอดขายรวม 4,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 549 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำการเติบโตที่มั่นคง
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 มีมติอนุมัติการขายเงินลงทุนทั้งหมดใน AMGThai Union Feedmill (Private) Limited (AGM-TFM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในปากีสถานที่ TFM ถือหุ้น 51% เพื่อปรับโครงสร้างเชิงกลยุทธ์ของกลุ่ม บมจ.ไทยยูเนี่ยน และเพิ่มประสิทธิภาพรวมถึงเสริมความสามารถการแข่งขันในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินหรือผลการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญ และแม้ AMG-TFM จะไม่เป็นบริษัทย่อยอีกต่อไป แต่ TFM ยังคงความร่วมมือในรูปแบบการสนับสนุนด้านเทคนิค โดยจะให้ความช่วยเหลือด้านความรู้และเทคโนโลยีการเลี้ยงกุ้งแก่ AMG-TFM ต่อไป
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM กล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายปี 68 คาดว่ารายได้ของบริษัทฯ จะเติบโต 7-9% จากโมเมนตัมที่แข็งแกร่งของธุรกิจอาหารกุ้งและอาหารปลาในประเทศไทย รวมถึงการฟื้นตัวของความต้องการในอินโดนีเซียหลังการระบาดของโรค คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พอร์ตโฟลิโอที่มีคุณภาพ และการบริหารต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่จะควบคุมสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายให้อยู่ในระดับ 8-10%