นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี [IRPC] เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 3/68 บริษัทบันทึกกำไรจากการด้อยค่าและจำหน่ายทรัพย์สิน 133 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/68 ที่บันทึกขาดทุน 157 ล้านบาท ประกอบกับบริษัทบันทึกกำไรจากการลงทุน 210 ล้านบาท ลดลง 9% จากไตรมาสก่อน จากปัจจัยที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ในไตรมาส 3/68 บริษัทมีกำไรสุทธิ 340 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/68 ที่มีขาดทุนสุทธิ 2,132 ล้านบาท
ไตรมาส 3/68 บริษัทมีรายได้จากการขายสุทธิ 57,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,136 ล้านบาท หรือ 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น และปริมาณขายเพิ่มขึ้น 1%
สำหรับธุรกิจปิโตรเลียม มีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นตามราคาตลาด (Market Gross Refining Margin: Market GRM) ที่เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานเทียบกับราคาน้ำมันเตาปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องด้วยราคาน้ำมันเตาที่ปรับตัวลดลง และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นจากความกังวลด้านอุปทาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียกับประเทศยูเครน
ธุรกิจปิโตรเคมี กำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาดของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี (Market Product to Feed: Market PTF) ลดลงเล็กน้อย จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มปรับตัวลดลง ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาและอุปทานที่ยังมีปริมาณมาก
ขณะที่กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคมีกำไรขั้นต้นคงที่จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 5,493 ล้านบาท หรือ 9.04 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาส 2/68
ประกอบกับ สถานการณ์น้ำมันดิบในไตรมาส 3/68 ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียกับประเทศยูเครน ส่งผลให้บริษัทฯ มี Net Inventory Gain รวม 502 ล้านบาท หรือ 0.83 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 3,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,806 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/68
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68 เปรียบเทียบกับไตรมาส 3/67 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิลดลง 12,026 ล้านบาท หรือ 17% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยลดลง 12% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง และปริมาณขายลดลง 5% สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมมี Market GRM ที่เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบ และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานเทียบกับราคา น้ำมันเตา ปรับตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ธุรกิจปิโตรเคมี มี Market PTF ที่ลดลงเล็กน้อย โดยหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ PP ในกลุ่มโอเลฟินส์ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคมีกำไรขั้นต้นค่อนข้างคงที่ ส่งผลให้บริษัทฯ มี Market GIM เพิ่มขึ้น 1,843 ล้านบาท หรือ 3.32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม บริษัทบันทึก Net Inventory Gain 502 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/67 ที่บันทึก Net Inventory Loss 5,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มี Accounting GIM อยู่ที่ 5,995 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่บันทึกขาดทุน Accounting GIM 1,350 ล้านบาท
ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ มี EBITDA 3,029 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/67 ที่บันทึกผลขาดทุน EBITDA จำนวน 4,843 ล้านบาท โดยบริษัทบันทึกต้นทุนทางการเงินสุทธิ 629 ล้านบาท ลดลง 8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับมีกำไรจากการด้อยค่าและจำหน่ายทรัพย์สิน 133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/67 ส่งผลให้ในไตรมาส 3/68 บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานกำไรสุทธิ 340 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/67 ที่บันทึกขาดทุนสุทธิ 4,880 ล้านบาท
งวด 9 เดือนปี 68 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิจำนวน 176,964 ล้านบาท จากราคาขายเฉลี่ยลดลง 15% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง และปริมาณขายลดลง 4% บริษัทฯ มี EBITDA จำนวน 4,848 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ บันทึกค่าเสื่อมราคา 7,049 ล้านบาท โดยหลักเป็นผลจากสินทรัพย์ที่เพิ่มจากโครงการ Ultra Clean Fuel (UCF) โดยงวด 9 เดือนปี 2568 บริษัทฯ บันทึกขาดทุนจากการลงทุนจำนวน 215 ล้านบาท ส่งผลให้ในงวด 9 เดือน ปี 2568 บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 2,998 ล้านบาท น้อยกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 1,070 ล้านบาท
นายเทอดเกียรติ กล่าวต่อไปว่า IRPC ได้ดำเนินแผนยุทธศาสตร์ "4R" ปี 68-73 ประกอบด้วย Re-capitalize, Re-vitalize, Re-invent และ Re-frame กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนความสามารถในการทำกำไรและสร้างความยั่งยืนทางการเงินของบริษัทฯ ในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางสำคัญ ดังนี้
Re-capitalize: การบริหารจัดการทรัพย์สินที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก เพื่อเพิ่มศักยภาพและความมั่นคงทางการเงิน IRPC มุ่งเพิ่มกระแสเงินสดและสร้างผลตอบแทน ผ่านการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Non-core Assets Optimization) ให้เกิดมูลค่าสูงสุด เช่น โครงการพัฒนาที่ดินเพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ (Health and Wellness) อ.เมือง จ.ระยอง โดยร่วมมือกับพันธมิตรเครือโรงพยาบาลบางปะกอกและปิยะเวท โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อ.จะนะ จ.สงขลา และอื่น ๆ
Re-vitalize: การยกระดับประสิทธิภาพและสมรรถนะของธุรกิจหลัก ได้แก่ ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี โดยเดินหน้าปรับโครงสร้างต้นทุนและกระบวนการปฏิบัติงาน (Operations Excellence) พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพเชิงพาณิชย์ (Commercial Excellence) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ผ่านมาตรการสำคัญ เช่น การบริหารต้นทุน และการจัดหาวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ การปรับโครงสร้างองค์กรและพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเสริมความร่วมมือกับลูกค้าและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์
Re-invent: การลงทุนในแหล่งรายได้ใหม่สร้างการเติบโตระยะยาวจากธุรกิจที่มีมูลค่าสูง บริษัทฯมุ่งต่อยอดธุรกิจ Downstream โดยปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับความพร้อมด้านเงินทุน พร้อมรองรับความต้องการของตลาดในอนาคต
Re-frame: เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืน เร่งปรับเปลี่ยนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ปรับโมเดลธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเสริมระบบการทำงานสู่มาตรฐานระดับสากล
สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบและตลาดปิโตรเคมี ในไตรมาส 4/68 สถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบ คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม เช่น สภาวะตลาดแรงงานของประเทศสหรัฐฯ และการเจรจาการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ กับประเทศจีน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนความต้องการใช้น้ำมันตามฤดูกาลในช่วงฤดูหนาวและช่วงเทศกาลปลายปี
นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในวันที่ 30 ตุลาคม 68 อาจเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนความต้องการใช้น้ำมัน ในส่วนของอุปทาน คาดว่าการปรับเพิ่มการผลิตจาก Voluntary Cut ของโอเปกพลัส จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดน้ำมันดิบ ทั้งนี้ คาดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะยังไม่คลี่คลาย จะยังคงสร้างความไม่แน่นอนในตลาดน้ำมันดิบต่อไป
สถานการณ์ตลาดปิโตรเคมี คาดว่าความต้องการยังคงทรงตัวถึงปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ทั้งนี้โดยปกติแล้วความต้องการจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 เพื่อรองรับการผลิตสำหรับฤดูการท่องเที่ยวและช่วงเทศกาลปลายปี แต่จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาและความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ผู้ซื้อส่วนใหญ่ชะลอการซื้อหรือเลือกซื้อเท่าที่จำเป็น อีกทั้งกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคาตลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตบางรายอาจพิจารณาปรับลดอัตราการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับระดับความต้องการในตลาดและเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา