นายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริษัท บมจ.เมดีซ กรุ๊ป [MEDEZE] ยอมรับว่าภาพรวมรายได้ในปี 68 จะทำได้ไม่ถึงเป้าหมายเดิมที่ 1,000 ล้านบาท โดยประเมินว่าอาจจะทำได้ราว 750-770 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบันทำให้ลูกค้าเลื่อนหรือชะลอการเข้ารับบริการไปก่อน ประกอบกับ ลูกค้ากัมพูชาลดลงมากตั้งแต่ไตรมาส 2/68
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68 บริษัทมีรายได้ 181.27 ล้านบาท ลดลง 8% จากไตรมาสที่แล้ว (QoQ) และลดลงราว 21% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY) ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปี 68 บริษัททำรายได้ 587.99 ล้านบาท ลดลง 8% จากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว (YTD)
ภาพรวมการปรับตัวลดลงของรายได้รวมในไตรมาส 3/68 ปัจจัยหลักเกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ความต้องการใช้บริการในกลุ่มธุรกิจหลักลดน้อยลง ลูกค้าบางส่วนเลื่อนหรือชะลอการสั่งซื้อหรือการเข้ารับบริการออกไปก่อน หรือลดจำนวนลงเพื่อรอดูแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะต่อไป ประกอบกับกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ลดน้อยลง โดยเฉพาะลูกค้าจากประเทศกัมพูชาจากความไม่แน่นอนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
กลุ่มบริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิของไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 30.54 ล้านบาท ลดลง 44% จากไตรมาสที่แล้ว (QoQ) และลดลง 68% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 68 อยู่ที่ 159.95 ล้านบาท ลดลง 33% จากงวก 9 เดือนแรกของปีก่อน
ปัจจัยหลักเกิดจากรายได้รวมลดลง และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ค่าใช้จ่ายพนักงานจากการเพิ่มจำนวนพนักงาน ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในสินทรัพย์เพิ่ม อาทิ อาคารฝ่ายขายและการตลาด อาคารคลังสินค้าแห่งใหม่ ระบบพลังงานไฟฟ้า Solar Cell และระบบ MEDEZE Plus Auto Matching Software เป็นต้น เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทในอนาคต รวมถึงค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์โครงการ ATMPs Sandbox และค่าใช้จ่ายในการรับรองระบบ GMP และมาตรฐานธนาคารเซลล์ ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของกลุ่มบริษัทฯ และเกิดประโยชน์กับประเทศไทย เพื่อเป็นการให้ความรู้ ความเข้าใจ แก่ลูกค้ารวมถึงประชาชนทั่วไป
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/68 คาดเติบโตเล็กน้อยจากไตรมาส 3/68 ทั้งรายได้และกำไร เนื่องจากโดยปกติไตรมาส 4 เป็นไตรมาสที่มีการเติบโตดี รวมทั้งจะไม่มีค่าใช้จ่ายที่เคยเกิดขึ้นในไตรมาส 3/68 ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวอยู่ที่ระดับ 10 ล้านบาท
นายปิยวัชร กล่าวว่า บริษัมยังมั่นใจว่าปี 69 จะเติบโตได้ดีขึ้น จึงยังคงเป้าหมายเดิมยอดขาย 1,000 ล้านบาท โดยมาจากการเติบโตของธุรกิจหลักของบริษัท เนื่องจากกระบวนการจดทะเบียนยา ATMPs คาดจะแล้วเสร็จสิ้นในปีหน้า ซึ่งจะหนุนการเติบโตปี 70 ให้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญภายหลังจดทะเบียนยาแล้วเสร็จ ซึ่งจะทำให้บริษัทได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นเอกชนรายเดียวที่ได้มาตรการธนาคารเซล์ และสามารถกระจายการบริการไปในทุกโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้อย่างเปิดกว้าง
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าแผนขยายต่างประเทศผ่านโมเดลการเปิดแฟรนไชส์ เนื่องจากไม่มีต้นทุนและสามารถเพิ่มมาร์จิ้นโดยรวมให้กับบริษัทได้ โดยตั้งเป้าเปิดแฟรนไชน์ใหม่ในต่างประเทศขั้นต่ำปีละหนึ่งแห่ง เริ่มจากฟิลิปปินส์ในปี 69 และมองโกเลียในปี 70