นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ [JMART] กล่าวว่า กลุ่มเจมาร์ทยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด "The Power of Synergy" ที่มุ่งสร้าง Ecosystem ทางธุรกิจระหว่างบริษัทในเครือ โดยมองว่าภาพในปี 68 และปี 69 กำลังก้าวสู่จุดแข็งใหม่ของ Ecosystem ในธุรกิจมือถือและการเงินที่ครบวงจรที่สุดในประเทศ จากการเติบโตของธุรกิจสินเชื่อ Lock Phone และศักยภาพของเครือข่ายดีลเลอร์ที่แข็งแกร่ง และการบริหาร NPL ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง การฟื้นตัวเต็มรูปแบบของธุรกิจบริหารหนี้ภายใต้ JMT และการต่อยอดแผน Synergy ในสุกี้ตี๋น้อย (Suki Teenoi) ควบคู่กับการทรานส์ฟอร์มธุรกิจด้วยเทคโนโลยี ทั้งหมดนี้สะท้อนความมั่นใจของเจมาร์ทในการเติบโตอย่างมั่นคง สร้างกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และสามารถรักษาการจ่ายผลตอบแทนผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/68 JMART มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นจำนวน 82.5 ล้านบาท จาก 255.2 ล้านบาทใน ไตรมาส 3/67 และงวด 9 เดือนปี 68 มีกำไรสุทธิรวม 334 ล้านบาท จากงวด 9 เดือนปี 67 มีกำไร 830.8 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนหลักจากธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือที่เติบโตและทำกำไรเพิ่มขึ้น แม้ในช่วงเศรษฐกิจที่ท้าทาย ขณะที่ มีการตั้งสำรองหนี้ (ECL) เพิ่มขึ้นในธุรกิจบริหารหนี้ รวมถึงขาดทุนจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลงจากปีก่อน
โดยธุรกิจค้าปลีกโทรศัพท์มือถือ ภายใต้ เจมาร์ท โมบาย หรือ Jaymart Mobile ยังคงเป็นบริษัทแกนที่สำคัญของกลุ่ม โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 68 มีรายได้รวม 7,465 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% หนุนจากการขยายช่องทางขายส่ง (Wholesale) ที่เติบโตโดดเด่น และรายได้จากเครือข่าย Jaymart Network เพิ่มขึ้น แม้ยอดขายหน้าร้าน (Retail) และออนไลน์จะชะลอลงเล็กน้อย บริษัทตั้งเป้ารายได้ไตรมาส 4 เติบโตรับไฮซีซั่นของตลาดสมาร์ตโฟน นำโดยการเปิดตัวสินค้าเรือธงอย่าง iPhone 17, Xiaomi 15T Series, OPPO และ vivo ที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและผลักดันยอดขายสู่จุดสูงสุดของปี
ด้านบมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส [JMT] ธุรกิจบริหารหนี้ที่ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ต่อเนื่อง โดยในงวด 9 เดือนแรกของปี 68 มีกำไรสุทธิ 808 ล้านบาท แม้ลดลงจากปีก่อนหน้า จากการตั้งสำรอง ECL เพิ่มขึ้นเพื่อบริหารความเสี่ยงเชิงรุก จากเศรษฐกิจชะลอตัวแต่ยังรักษากระแสเงินสดแข็งแกร่ง มียอด Cash Collection รวมกับบริษัทร่วมทุน JK AMC ถึง 6,331 ล้านบาท สะท้อนศักยภาพบริหารพอร์ตหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ เตรียมเดินหน้าขยายพอร์ตหนี้ทั้งมีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน จากปัจจุบัน พอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพสะสม อยู่ที่ราว 600,000 ล้านบาท โดยเชื่อว่าไตรมาส 4 จะเป็นช่วงพีคของธุรกิจซื้อหนี้เข้ามาบริหาร และมีอัตราการจัดเก็บหนี้สูงสุดของปี ซึ่งจะหนุนรายได้และกำไรฟื้นตัวอย่างชัดเจน
ส่วนบมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท [J] สามารถบริหารจัดการพื้นที่เช่าโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ได้ดีขึ้นต่อเนื่อง สนับสนุนรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่ผลขาดทุนสุทธิจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์ และต้นทุนดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี บริษัทมุ่งบริหารศูนย์การค้าปัจจุบัน 8 แห่ง ให้เต็มศักยภาพ คาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) จะสูงกว่า 90% จากการดึงผู้เช่าหลักแบรนด์ใหม่ๆเข้ามาเสริม พร้อมต่อยอดธุรกิจ Senera Wellness ศูนย์ดูแลผู้สูงวัย ที่คาดว่าจะเริ่มรับรู้กำไรในปี 69
ขณะที่บริษัทที่เข้าไปลงทุน อย่าง "สุกี้ตี๋น้อย" (Suki Teenoi) ยังคงเป็นดาวรุ่งในกลุ่ม ในงวดไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 220 ล้านบาท หนุน 9 เดือนแรก ทำกำไรแล้วที่ 802 ล้านบาท โดย JMART ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น 30% คิดเป็น 233 ล้านบาท (หลังหักการปันส่วนราคาซื้อหรือ Purchase Price Allocation) แม้ต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย และการแข่งขันด้านราคา มองไตรมาส 4/2568 เข้าสู่ช่วงซีซั่นการขาย ทั้งนี้ ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 96 สาขา (Suki Teenoi 88 แห่ง, Teenoi BBQ 7 แห่ง, Teenoi Gold 1 แห่ง) และตั้งเป้าทะลุ 100 สาขาภายในสิ้นปี 2568 พร้อมต่อยอดสู่ธุรกิจอาหารพรีเมียมและขยายสาขาในต่างจังหวัดต่อเนื่อง
บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย [SINGER] โชว์ผลประกอบการไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิแข็งแกร่งที่ 60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 400% จากปีก่อน และรายได้รวม 906 ล้านบาท เติบโต 60.5% หนุนจากธุรกิจสินเชื่อมือถือ Lock Phone ที่บริหารโดยบริษัทย่อย ขยายตัวโดดเด่นผ่านแพลตฟอร์ม SG Finance+ ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยและยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าโทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อมบริหารต้นทุนทางการเงินในไตรมาส 3/68 ลดลงเกือบ 80%
สำหรับ บมจ.เอสจี แคปปิตอล [SGC] บริษัทย่อยของ SINGER โชว์ผลงานโดดเด่น ไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 123.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 349% และงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิรวม 238.5 ล้านบาท เติบโตถึง 186% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยพอร์ตสินเชื่อหลัก "Lock Phone" ที่ขยายตัวแรง พร้อมปล่อยสินเชื่อใหม่ทำสถิติสูงสุดในไตรมาส 3 กว่า 2,611 ล้านบาท ตอกย้ำความสำเร็จของโมเดลสินเชื่อมือถือที่บริหารความเสี่ยงได้ดี นอกจากนี้ บริษัทยังปรับวิธีรับรู้รายได้จาก Marketing Support ของแบรนด์มือถือ โดยเปลี่ยนจากการรับรู้แบบ One Time เป็นการรับรู้ตามอายุสัญญาเช่าซื้อ และบันทึกเป็นรายได้ดอกเบี้ย แทนรายได้อื่นๆ ตามการหารือร่วมกับผู้สอบบัญชี เพื่อสะท้อนรายได้ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานจริงมากขึ้น
"JMART ผลประกอบการในปีนี้สะท้อนความยืดหยุ่นของโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง เราใช้พลัง Synergy ในเครือสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับชำระคืนหุ้นกู้ครบทุกชุดในปี 68 มูลค่า 2,387 ล้านบาท และเตรียมพร้อมชำระหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดเดือนพ.ค. 69 อีก 2,176 ล้านบาท" นายอดิศักดิ์ กล่าว