นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล [MINT] กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 2,553 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 17 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของทุกกลุ่มธุรกิจ และประสิทธิภาพจากตราสารอนุพันธ์ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับงวด 9 เดือนแรก กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 47% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 6,056 ล้านบาท สะท้อนถึงปัจจัยหลักเดียวกัน รวมถึงรายได้จากการขายสินทรัพย์บางส่วนในพอร์ตการลงทุน
เมื่อไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว MINT มีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) สำหรับไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 2,768 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงส่งที่แข็งแกร่งของทุกหน่วยธุรกิจ และต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลง แม้อยู่ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่ผันผวน
สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 68 กำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) ของ MINT อยู่ที่ 6,229 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเติบโตขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยยอดขายโดยรวมทุกสาขา (Total System Sales) อยู่ที่ 193,000 ล้านบาท สูงกว่ารายได้ที่รายงาน 57% สะท้อนถึงความสำเร็จของการปรับโครงสร้างสู่โมเดล Asset-Light และความแข็งแกร่งของพันธมิตรทางธุรกิจและเครือข่ายแฟรนไชส์ระดับโลกของ MINT
ด้านค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน ผลจากการลดระดับหนี้อย่างมีวินัย และต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากการบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพและอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ดีขึ้น โดยหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยลดลงจาก 99,110 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสก่อนหน้า เหลือ 95,458 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 3/68 จากการไถ่ถอนหุ้นกู้สกุลยูโรมูลค่า 400 ล้านยูโรล่วงหน้า การชำระคืนเงินกู้ธนาคารก่อนกำหนด และการชำระคืนหุ้นกู้สกุลบาท
MINT ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท Minor Hotels Europe & Americas (MHEA) จาก 95.9% เป็น 99.5% ภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เพื่อเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์สเปน (Delisting Tender Offer) เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งช่วยปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร และเพิ่มความยืดหยุ่นเชิงกลยุทธ์และการดำเนินงาน
ด้านธุรกิจไมเนอร์ โฮเทลส์ มีกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 68 เพิ่มขึ้น 63% จากปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานของโรงแรมที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในยุโรปและมัลดีฟส์ รวมถึงกำไรจากการขายสินทรัพย์บางส่วนในพอร์ตการลงทุน สำหรับไตรมาส 3/68 กำไรดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็นผลจากการดำเนินงานพื้นฐานที่ดีขึ้น และประสิทธิภาพจากตราสารอนุพันธ์ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ในภูมิภาคยุโรปและอเมริกามีการเติบโต 4% ในงวด 9 เดือนแรกของปี 68 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากความแข็งแกร่งของแบรนด์และทำเลโรงแรมที่ยอดเยี่ยมซึ่งช่วยคงอัตราการเข้าพักและการเติบโตของราคาห้องพัก แม้เทียบกับฐานที่สูงจากอีเวนต์กีฬาหลักและคอนเสิร์ตใหญ่ในปีที่ผ่านมา
รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ของมัลดีฟส์เติบโตโดดเด่น เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า หนุนโดยความต้องการจากตลาดต้นทางที่หลากหลาย และรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ประเทศไทยเพิ่มขึ้น 1% โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบชั่วคราวจากการปรับปรุงโรงแรมหลักบางแห่ง
ในไตรมาสที่ผ่านมา ไมเนอร์ โฮเทลส์ได้ขยายพอร์ตการลงทุนด้วยการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ในออสเตรเลีย เข้าสู่ตลาดเปรู เปิดตัวโรงแรมในเครือ Colbert Collection แห่งแรกในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประกาศเข้าสู่ตลาดอียิปต์ผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรท้องถิ่นรายสำคัญ
ด้านไมเนอร์ ฟู้ด มีกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 68 เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อนหน้า โดยมีแรงหนุนหลักจากการดำเนินงานในประเทศไทย และการปรับโครงสร้างความร่วมมือในบริษัท Art of Baking ซึ่งได้นำ Europastry ผู้ดำเนินธุรกิจเบเกอรี่อันดับต้นของโลกเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นเพิ่มเติม เพื่อเร่งขยายธุรกิจเบเกอรีในระดับภูมิภาค ในขณะที่กำไรสุทธิในงวดไตรมาส 3/68 ก็เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนหน้าเช่นกัน
โดยแบรนด์ Bonchon, GAGA และ Burger King ยังคงทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่ง โดยการเปิดตัวสินค้าใหม่และการบริหารจัดการร้านที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งความแข็งแกร่งของแบรนด์ไมเนอร์ ฟู้ดส่งผลให้มีการขยายสัญญาแฟรนไชส์และความร่วมมือใหม่ๆ โดยในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีการเปิดร้านแฟรนไชส์ของ Bonchon, GAGA, Dairy Queen และ Swensens เพิ่มขึ้นในประเทศไทย รวมถึงการเร่งเปิดร้าน GAGA และ Dairy Queen ในประเทศอินโดนีเซีย
นอกจากนี้ยังมีแนวคิดร้านอาหารรูปแบบใหม่มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดย Sizzler ได้เปิดตัว "Sandwich Society" ร้านแซนด์วิชพรีเมียม พร้อมด้วย "Hey Gusto" ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคและขยายฐานลูกค้า
นายดิลลิป กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของ MINT คือ การสร้างมูลค่าเชิงกลยุทธ์ เพื่อเปิดโอกาสในการปลดล็อกศักยภาพของบริษัทให้เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ ผ่านการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT IPO) ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 69 ควบคู่กับแผนงานที่กำลังดำเนินการอยู่เพื่อปรับพอร์ตธุรกิจให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ โครงการเหล่านี้จะช่วยผลักดันการเปลี่ยนผ่านของ MINT สู่โมเดล Asset-Light เพิ่มผลตอบแทนจากเงินลงทุน และสะท้อนศักยภาพการดำเนินงานของแต่ละกลุ่มธุรกิจได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น