ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการตื่นตัวต่อสินทรัพย์ดิจิทัลค่อนข้างสูง ทั้งการออกกฎเกณฑ์หรือใบอนุญาตต่าง ๆ และในขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังจะมีโปรเจกต์ใหม่ (ภายใต้ sandbox) Tourist Digipay สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้สามารถแปลงคริปโทฯ เป็นเงินบาทอย่างง่ายดาย
แต่โปรเจกต์นี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ให้บริการ E-Money/E-Wallet ด้วย แล้วจะมีเจ้าไหนที่มีศักยภาพพอบ้าง??
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บิทาซซ่าได้ฉลองครบรอบ 6 ปี ที่เปิดให้บริการ Exchange ภายใต้ License Broker โดยมีคู่เหรียญให้ซื้อขายกว่า 120 คู่เหรียญ มียอดการเทรดสะสมกว่า 535,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นอีก 1 ผู้เล่นในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลไทยที่ไม่ธรรมดา! ล่าสุด ทางบิทาซซ่าประกาศร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ B2C2 และ B2C2 จะเป็นผู้ให้บริการสภาพคล่องหลักแก่ Bitazza Thailand
พร้อมกันนั้น นายธนวัต สุตันติวรคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทาซซ่า จำกัด ได้มีการเผยถึงความคืบหน้าของโครงการ Tourist DigiPay ว่าออกแบบมาเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ โดยคนไทยและผู้พำนักทำงานในไทย (expat) จะไม่อยู่ในขอบเขตการใช้งาน เนื่องจากเขาเหล่านั้นสามารถเปิดบัญชีเงินบาทได้อยู่แล้ว ทั้งนี้ โครงการอยู่ในกรอบแซนด์บ็อกซ์ 18 เดือน และทุกแพลตฟอร์มที่เข้าร่วมกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการยื่นอนุมัติ
แล้ว "Tourist DigiPay" มีการทำงานอย่างไร
- "Tourist DigiPay" คือโครงการ sandbox ของแบงก์ชาติ ที่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ร่วมกับพัฒนาแอปพลิเคชัน หรือ แพลตฟอร์ม กับผู้ที่ได้ใบอนุญาต E-Money และ E-Wallet รองรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก
โดยสกุลเงินที่ใช้จ่ายปลายทางเป็น "เงินบาท": นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถโอนคริปโทฯ เข้ามาที่แพลตฟอร์ม จากนั้น ระบบจะแปลงเป็นบาททันที แล้วเติมเงินบาทเข้า กระเป๋า e-Wallet/e-Money ของพันธมิตรที่ได้รับใบอนุญาต ภายใต้การกำกับของแบงก์ชาติ
โปรเจกต์นี้จะเชื่อมกับโครงสร้างชำระเงินเดิม การใช้จ่ายสามารถผ่าน QR หรือ โครงข่ายเดิม ของ e-Money ทำให้ร้านค้ารับเงินเป็นบาทตามปกติ เหมือนเวลาเราสแกน QR เพื่อจ่ายเงิน
"บิทาซซ่า" จะรับคริปโทฯ เฉพาะเหรียญที่จดลิสต์บนกระดานบิทาซซ่า โดยเหรียญยอดนิยมที่คาดว่าจะถูกใช้งานมาก ได้แก่ USDT, BTC, ETH, XRP
แล้วเรื่องความเสี่ยงจะมีคนแอบมาใช้เป็นช่องทางฟอกเงินรึเปล่า??
- นายธนวัตให้ข้อมูลว่า โปรเจกต์นี้มีการป้องกันการฟอกเงินแบบหลายชั้น ทั้งใช้ KYC ตามมาตรฐาน ปปง. และติดตามธุรกรรมด้วย KYT (Know Your Transaction) เพื่อตรวจเช็คข้อมูลและพฤติกรรมทุกดีล แถมยังมีลิมิต (limit) การใช้รายเดือน ทั้งฝั่งนักท่องเที่ยวและร้านค้า เพื่อควบคุมความเสี่ยงในช่วงแซนด์บ็อกซ์ ย้ำอีกครั้งว่าโครงการนี้เฉพาะนักท่องเที่ยว ไม่เปิดให้คนไทยหรือแรงงานต่างชาติที่เปิดบัญชีเงินบาทได้อยู่แล้วใช้บริการ เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ "ท่องเที่ยว-จับจ่ายในไทย"
นายธนวัต ระบุว่า บิทาซซ่าคาดว่ายอดใช้งาน 5% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เข้ามาใช้จ่ายในไทยประเมินคร่าว ๆ อยู่ที่ประมาณ 66,000 ล้านบาท คาดเป็น "ก้อนเค้ก" เริ่มต้นของตลาดชำระเงินด้วยคริปโทฯ ผ่าน Tourist DigiPay แต่ย้ำว่าสัดส่วนจริงขึ้นกับจังหวะเข้าสู่ตลาดของผู้เล่นรายอื่นด้วย
จริง ๆ แล้วบิทาซซ่า นับว่าเป็นผู้เล่นในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลที่น่าจับตามองเลย เพราะปี 2564 บิทาซซ่าก็เคยสร้างระบบชำระเงินด้วยคริปโทฯ แห่งแรกของไทยที่ร่วมมือกับ Sansiri เปิดให้ลูกค้าซื้ออสังหาด้วย BTC, ETH หรือ USDT มาแล้ว, ยังไม่รวมตัวบัตร visa คริปโทฯ ใบแรกของไทยอีก คือถ้าพูดถึง payment gateway เชื่อมต่อการชำระเงินระหว่างโลกคริปโทฯ กับเงินบาทของเรา ก็มีชื่อ บิทาซซ่า ติดหนึ่งในนั้นแน่นอน
ไม่จบไม่สิ้นเมื่อทางจีน ออกมากล่าวหาว่า สหรัฐขโมย บิทคอยน์ จำนวน 127,000 บิทคอยน์ของเขาไป จากจาก LuBian Mining Pool ของจีนเมื่อปี 2020!!
เรื่องราวมันเริ่มจากการที่ LuBian Mining Pool ซึ่งเป็นกิจการขุด Bitcoin ที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนและอิหร่าน โดนโจมตีทางไซเบอร์ เมื่อปี 2020 ถูกขโมยบิทคอยน์ไป 127,426 BTC
แต่ปริศนาที่สำคัญคือ การกล่าวหาครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ หรือ DOJ ได้ประกาศยึด Bitcoin จำนวนเดียวกันนี้) จาก เฉิน จื้อ นักธุรกิจชาวกัมพูชา ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายหลอกลวงที่ใช้แรงงานบังคับเมื่อเดือนตุลาคม ที่เพิ่งผ่านมา
เขาระบุว่า Bitcoin ที่ DOJ ยึดมานั้นเป็นชุดเดียวกับเหรียญที่ถูก "ขโมย" ไปจาก LuBian ในปี 2020 ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่าใครคือผู้ที่ "ขโมย" เหรียญเหล่านั้นจาก LuBian จริง ๆ หรือว่า LuBian ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานฟอกเงินของกลุ่มอาชญากร ได้ถูกโจรกรรมโดยแฮกเกอร์ที่บังเอิญมาก่อนที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้าถึงได้
และแน่นอนว่าการกล่าวหาจากจีนในครั้งนี้ ได้ยกประเด็นด้านความปลอดภัยของคริปโทเคอร์เรนซี เข้าสู่เวทีความขัดแย้งโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แถม 127,000 BTC ก็นับเป็นอุปทาน 0.6% ของจำนวนบิทคอยน์ทั้งหมดในโลก ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล มากกว่ามูลค่าทองคำสำรองของหลาย ๆ ประเทศอีกด้วย สาวก on-chain ตอนนี้ต่างจับตาว่าบิทคอยน์มูลค่ามหาศาลนี้จะถูกโอน ถูกแฮ็ก ไปในกระเป๋าใครอีกรึเปล่า??
สาวก Ethereum มีตื่นเต้นแน่นอน เพราะล่าสุด กระทรวงการคลังสหรัฐฯ และกรมสรรพากร (IRS) ได้พลิกโฉมตลาดคริปโทฯใน Wall Street ครั้งใหญ่ ด้วยการออก "แนวทางใหม่" ที่เปรียบเสมือนการ "ปลดล็อก" ให้กองทุน Crypto ETF สามารถนำสินทรัพย์ของลูกค้าไป "Staking" เพื่อสร้างผลตอบแทน และแบ่งปันให้กับนักลงทุนรายย่อยได้แล้ว
งานนี้เหมือนมิติใหม่เพราะตอนที่ Spot Ethereum ETF ได้รับการอนุมัติเมื่อปีที่แล้ว กองทุนทั้งหมดยังถูก "ห้าม" ไม่ให้มีฟีเจอร์ Staking อยู่เลย แต่วันนี้ รัฐบาล "ทรัมป์" ได้ปูพรมแดงให้กับทุกบริษัทผ่านแนวทางที่มีความแน่นอน ทั้งด้านกฎระเบียบและภาษี ทำให้บริษัท TradFi ยักษ์ใหญ่ที่ "กลัวความเสี่ยง" ก็สามารถเปิดบริการ Staking ได้ แต่ก็มีเงื่อนไขที่กองทุน ETF ต้องทำตาม นั่นคือ
1. กองทุนต้องถือสินทรัพย์ดิจิทัล (PoS) เพียงประเภทเดียว (เช่น กอง ETH หรือ กอง SOL เท่านั้น)
2. ห้ามทำหน้าที่อื่นใด นอกจากการ "ถือ, Staking และ ไถ่ถอน" เหรียญนั้นๆ
3. ต้องใช้บริการ "ผู้ดูแลสินทรัพย์" (Custodian) และ "ผู้ให้บริการ Staking" (Staking Provider) ที่เป็นอิสระต่อกัน
ไม่รู้งานนี้จะดันราคา Ethereum ให้ขึ้นรึเปล่า??
https://youtu.be/gZULkPvaP_0