ดีลอยท์ คาดตลาด IPO ของไทยฟื้นตัวปี 69 ตามอาเซียน หลัง ตลท.เดินหน้าปรับกลยุทธ์เชิงรุก

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 19, 2025 14:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดีลอยท์ คาดตลาด IPO ของไทยฟื้นตัวปี 69 ตามอาเซียน หลัง ตลท.เดินหน้าปรับกลยุทธ์เชิงรุก

รายงานล่าสุดของดีลอยท์ ชี้ให้เห็นว่าการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้กับสาธารณะชน (IPO) ของประเทศไทยในปีนี้ยังคงซบเซา แม้ว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตาม

ประเทศไทยมีการเสนอขาย IPO ขนาดเล็กหลายรายการในปีนี้ ยกเว้นกรณีของบมจ. มิสเตอร์ ดี. ไอ. วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) ซึ่งระดมทุน IPO ได้ 174 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งผลการดำเนินงานของตลาดในประเทศไทยได้รับแรงกดดันจาก ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ หนี้ครัวเรือนที่สูง ความผันผวนของตลาดโลก และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในการระดมทุน

จากรายงานของดีลอยท์ ในช่วง 10.5 เดือนแรกของปี 2568 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการเสนอขาย IPO จำนวน 102 หลักทรัพย์ จากตลาดหลักทรัพย์ทั้งหกแห่ง โดยมูลค่าการระดมทุนประมาณ 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มขึ้นร้อยละ 53 ของมูลค่ารวมของเงินที่ระดมทุนได้จาก IPO ในภูมิภาค แม้ว่าจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียนจะลดลงก็ตาม ซึ่งเป็นผลมาจากหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น การเปลี่ยนแปลงของพลวัตภาคอุตสาหกรรม และผลการดำเนินงานของตลาดที่แข็งแกร่งในสิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย

นางวิลาสินี กฤษณามระ พาร์ทเนอร์ สายงานการให้บริการด้านตลาดทุน ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า "ประเทศไทยสามารถเรียนรู้จากประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค เพื่อปรับปรุงแนวโน้ม IPO สำหรับปี 2569 ผลการดำเนินงาน IPO ของประเทศไทยในปีนี้ค่อนข้างซบเซา แสดงให้เห็นว่าความท้าทายเชิงโครงสร้างซึ่งมีผลต่อความรู้สึกของนักลงทุนมากกว่าตลาดเพื่อนบ้าน ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคได้รับประโยชน์จากขั้นตอนการจดทะเบียนที่ชัดเจนขึ้นและมีการปฏิรูปเชิงรุก

ประเทศไทยก็เริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน โดยริเริ่มโครงการเพิ่มความน่าดึงดูดใจของตลาดทุนไทย โครงการ JUMP+ และความพยายามของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในการทำให้ขั้นตอนการจดทะเบียนง่ายขึ้น จะค่อย ๆ เสริมสร้างความเชื่อมั่นของตลาดและปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันของตลาดหลักทรัพย์ไทย ด้วยแรงผลักดันด้านการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบอย่างต่อเนื่องและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคที่มากขึ้น เราคาดว่าบริษัทที่อยู่ระหว่างการยื่นขอจดทะเบียน IPO ของประเทศไทยจะกลับมาเพิ่มจำนวนอีกครั้งในปี 2569"

การที่บริษัทที่มีมูลค่าสูงขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และสินค้าอุปโภคบริโภค เข้าจดทะเบียนในภูมิภาค ได้เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักที่ทำให้มูลค่ารวมของการระดมทุนจาก IPO เพิ่มขึ้นในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีการระดมทุน 3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 136 หลักทรัพย์ และปี 2566 ที่มีการระดมทุน 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 163 หลักทรัพย์ของภูมิภาค โดยภาคอสังหาริมทรัพย์มีความโดดเด่น มีมูลค่าการระดมทุนคิดเป็น 33% ของมูลค่าที่ระดมทุนทั้งหมด ตามมาด้วยภาคพลังงานและทรัพยากร และภาคการเงิน สำหรับภาคอุตสาหกรรม มีการเชื่อมโยงกับการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน (Mobility and energy infrastructure) ที่กำลังได้รับความสนใจท่ามกลางการย้ายฐานการผลิต ส่วนการเสนอขายในภาคีนวัตกรรมทางการแพทย์ยุคใหม่ ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันและ Private Equity

ตลาด IPO ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตด้วยวิถีที่แตกต่างกันในช่วง 10.5 เดือนแรกของปี 2568 สิ่งที่น่าสังเกตคือ การจดทะเบียนที่ได้รับการสนับสนุนจาก Private Equity (PE-backed listings) ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งช่วยรักษาการไหลเข้าของเงินทุนที่มั่นคงและดึงดูดความสนใจของนักลงทุนอย่างมาก เมื่อมองไปข้างหน้าถึงปีที่จะมาถึง ดีลอยท์คาดการณ์ว่าความต้องการของนักลงทุนจะยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากการเกิดขึ้นของโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

*สิงคโปร์และเวียดนามเป็นผู้นำด้านมูลค่า ขณะที่มาเลเซียและอินโดนีเซียนำด้านปริมาณ

สิงคโปร์ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของตลาด IPO ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีหลักทรัพย์จดทะเบียน 9 รายการ ซึ่งระดมทุนได้ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 10.5 เดือนแรกของปี มาจากการจดทะเบียนใน REITs (ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) ขนาดใหญ่ 2 รายการ ได้แก่ NTT DC REIT และ Centurion Accommodation REIT โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการปฏิรูปกฎระเบียบและควบคู่ไปกับสภาพแวดล้อมของอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของตลาด ทำให้การระดมทุนแต่ละรายการมีมูลค่ามากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 88 ของเงินทุนทั้งหมดที่ระดมได้ ทำให้มูลค่าการระดมทุนจากตลาด IPO ของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

เท ฮวี ลิง ลีดเดอร์ สายงานการให้บริการด้านตลาดทุน ดีลอยท์ เซาท์อีสท์ เอเชีย กล่าวว่า "การพลิกฟื้นของสิงคโปร์ได้รับการสนับสนุนจากการปฏิรูปกฎระเบียบและตลาด รวมถึงการจดทะเบียนของบริษัทขนาดใหญ่ ส่งสัญญาณความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และดึงดูดความสนใจจากกองทุนระดับภูมิภาคและระดับโลก นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะที่ทำโดยคณะทำงานทบทวนตลาดตราสารทุนของธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้สิงคโปร์ก้าวไปสู่ระบบการกำกับดูแลที่เน้นการเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องทิศทางของตลาดพัฒนาแล้ว และที่สำคัญยังมีมาตรการสนับสนุนธุรกิจ เช่น โครงการพัฒนาตลาดตราสารทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ช่วยกระตุ้นสภาพคล่องและประสิทธิภาพอย่างเจาะจงให้กับตลาดทุน IPO ของสิงคโปร์ และเสริมสร้างตำแหน่งของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) ในการเป็นผู้นำของการฟื้นตัวของตลาดทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"

เวียดนามมีการเสนอขาย IPO ครั้งใหญ่ในภาคการเงินถึง 2 รายการ ได้แก่ Techcom Securities Joint Stock Company และ VP Bank Securities ซึ่งทั้ง 2 แห่งระดมทุนรวมกันได้ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สิ่งนี้เป็นการเปิดทางสำหรับวัฏจักรการเติบโตครั้งใหม่ของตลาด IPO ของเวียดนาม หลังจากที่ซบเซามาหลายปีตั้งแต่ปี 2561

วัน ทรินห์ บุย พาร์ทเนอร์ สายงานการให้บริการตลาดทุนดีลอยท์ เวียดนาม กล่าวว่า "ตลาด IPO ของเวียดนามกำลังเข้าสู่วัฏจักรใหม่ด้วยหลักทรัพย์ที่เตรียม IPO ที่มีคุณภาพสูงในภาคการเงิน อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก เกษตรกรรม และเทคโนโลยี โดยหัวใจของการเปลี่ยนแปลงนี้ คือ การปฏิรูปกฎระเบียบครั้งใหญ่ที่มุ่งเป้าไปที่การทำให้ตลาดทุนทันสมัย ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังเพิ่มความโปร่งใส ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และปรับปรุงขั้นตอนการจดทะเบียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับนักลงทุนมากขึ้น โดยการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์เหล่านี้กำลังขับเคลื่อนการไหลเข้าของเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้น พร้อมวางตำแหน่งเวียดนามให้เป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจที่สุดของเอเชีย สำหรับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ"

ประเทศมาเลเซีย เป็นผู้นำในด้านจำนวน IPO โดยมีหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนถึง 48 รายการ ระดมทุนได้ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่ผ่านตลาด ACE Market แม้ว่าตัวชี้วัดหลักโดยรวม (มูลค่ารวมของเงินที่ระดมทุนจาก IPO, มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ IPO และจำนวน IPO) จะลดลง แต่มาเลเซียก็กำลังเดินหน้าไปสู่การบรรลุเป้าหมายการมีจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียน 60 รายการภายในสิ้นปีนี้ สิ่งนี้ช่วยขับเคลื่อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยั่งยืน และหลักทรัพย์ที่เตรียม IPO ในตลาดที่แข็งแกร่ง

อินโดนีเซียมีสถิติการระดมทุน 24 รายการ โดยระดมทุนได้ 921 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยพบว่าการเสนอขายมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียน ภาคพลังงานและทรัพยากร ยังเป็นเรือธงในการระดมผ่าน IPO โดยเฉพาะภาคธุรกิจน้ำมันและก๊าซ พลังงานหมุนเวียน และอุตสาหกรรมด้านบริการพลังงานที่เกี่ยวข้อง จากบริษัท PT Merdeka Gold Resource TBK และ PT Chandra Data Investasi Tbk ซึ่งระดมทุนได้ 279 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 144 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ

*Private Equity มีบทบาทผลักดันการเข้าจดทะเบียนในตลาด

การเข้ามามีส่วนร่วมของ Private Equity (PE) ในการระดมทุนของตลาดหลักทรัพย์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วยยกระดับขนาดการระดมทุนเฉลี่ยและเพิ่มความเชื่อมั่นของตลาด และมีสัดส่วนการเพิ่มมูลค่าการระดมทุนถึงร้อยละ 54 แม้ว่าจะมีการระดมทุน โดยรวมลดลง ซึ่งบ่งชี้ว่าบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจาก PE มักจะเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่และมีความมั่นคง และมีเป้าหมายเพื่อการ exit ผ่านการระดมทุน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนไปสู่การมุ่งเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดย PE และนักลงทุนสถาบันมีบทบาทที่มีอิทธิพลมากขึ้นในการกำหนดการเติบโตของตลาดทุนในภูมิภาค

การฟื้นตัวนี้ยังคงสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมการถอนการลงทุนให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในภูมิภาค ธุรกรรมการลงทุนเหล่านี้ให้ความสนใจในกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (REITs และศูนย์ข้อมูล) การดูแลสุขภาพ สินค้าอุปโภคและบริโภค และเทคโนโลยี และสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจและการลงทุนในวงกว้างของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มุ่งสู่การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้

การระดมทุนของ PE ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยพบว่ามีการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มบริษัทที่อยู่ระหว่างการเตรียมตัวเพื่อระดมทุน และเป็นทางเลือกในการ Exit ช่วงปี 2569

*ภาพรวมตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แม้จะมีความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาค ตลาดในภูมิภาคยังคงมีความยืดหยุ่น โดยได้รับการสนับสนุนจากการปฏิรูปกฎระเบียบ การกระจายตัวของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นและสภาพแวดล้อมที่แข็งแกร่งนี้ บ่งชี้ว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นภูมิภาคที่น่าดึงดูดสำหรับการระดมทุนในปี 2568 และปีต่อ ๆ ไป

เมื่อมองไปข้างหน้าถึงปี 2569 ฮวี ลิง กล่าวว่า "เนื่องจากสภาวะตลาดดีขึ้น บริษัทที่ต้องการทำ IPO จึงยังคงต้องจับตาดูตลาดทุนอย่างใกล้ชิดเพื่อหาจังหวะที่เหมาะสมในการสร้างมูลค่าสูงสุด และปรับสมดุลสภาพคล่องจากสภาวะตึงตัวที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นสามารถปลดล็อกมูลค่าได้"


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ