ก.ล.ต.ลั่นไม่ปล่อยให้ "ตลาดทุน-สินทรัพย์ดิจิทัล" ถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน-สนับสนุนอาชญากรรม

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 20, 2025 11:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเพื่อป้องกันและยับยั้งการใช้ตลาดทุนสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นช่องทางในการฟอกเงินและเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้บริบทปัจจุบันที่การปราบปรามการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีทวีความสำคัญขึ้น และเป็น "วาระแห่งชาติ" ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ก.ล.ต. ได้มีการดำเนินการอย่างเข้มข้น โดยมีการประสานงานร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการตรวจสอบกรณีต้องสงสัยเกี่ยวกับการกระทำความผิด ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมทั้งยกระดับมาตรการ และการบูรณาการเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูล (Connecting the dots) เพื่อประโยชน์ของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ปิดช่องโหว่ ทำให้เห็นภาพในองค์รวม เพื่อการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ยังคงมุ่งเน้นกำกับดูแลให้ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้กำกับดูแลของ ก.ล.ต. ให้ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เป็นไปตามกฎหมายฟอกเงินของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)* นอกจากนี้ ก.ล.ต. ทำงานเชิงรุกในการป้องกัน - ป้องปราม - ปิดกั้น ตลอดจนมีเครื่องมือในการช่วยเหลือและแจ้งเตือนผู้ลงทุน ภายใต้การบูรณาการการทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน

ในการนี้ ก.ล.ต. มุ่งเน้นดำเนินการใน 3 เรื่อง ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด การป้องกันเชิงรุก และการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน

1. การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ซึ่งรวมถึงการกำกับผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ให้ทำความรู้จักตัวตนของลูกค้า (KYC) การตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (CDD) การติดตามและรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัย (Suspicious Transaction Report) ตามกฎหมายฟอกเงิน หากพบความไม่สอดคล้องในการลงทุนกับฐานะทางการเงินของลูกค้า หรือได้รับคำสั่งจาก ปปง. หรือ ก.ล.ต. ผู้ประกอบธุรกิจต้องมีหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกและรายงานข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย โดย ก.ล.ต. สามารถประสานกับหน่วยงานอื่น เช่น ปปง. และพนักงานสอบสวนในการส่งข้อมูลที่พบไปยังหน่วยงานดังกล่าวโดยตรงได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ เมื่อพบว่ามีการฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งรวมถึงการไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในเรื่องการเปิดเผยข้อมูล เช่น รายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ (แบบ 246-2) การไม่ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) การเปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน เป็นต้น ก.ล.ต. จะดำเนินการตามกฎหมายด้วย

สำหรับมาตรการป้องกันและยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน นอกเหนือจากผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ต้องมีมาตรการ KYC และ CDD ตามมาตรฐานที่กำหนดด้วยแล้ว ปัจจุบันภายใต้กฎหมายเกี่ยวกับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลยังต้องมีกลไกเพื่อยับยั้งและการรายงานข้อมูลตามมาตรฐานเดียวกับธนาคารพาณิชย์ เช่น การห้ามเปิดบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลให้กับผู้ที่มีรายชื่อเป็นบัญชีม้าดำและบัญชีม้าเทา การเพิ่มความเข้มข้นของการทำ Enhanced Customer Due Diligence กับลูกค้าต้องสงสัย และการจัดกลุ่มประเภทลูกค้า (customer profiling) ตามความเสี่ยง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการป้องกันและยับยั้งธุรกรรมน่าสงสัยในการฟอกเงิน หรือเข้าข่ายผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ปัจจุบัน ก.ล.ต. อยู่ระหว่างประสานงานกับ ปปง. เพื่อนำเกณฑ์ Travel Rule มาใช้กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต่อไป

ภายใต้การดำเนินการดังกล่าว สามารถยับยั้งบัญชีม้าได้แล้ว 44,382 บัญชี มูลค่ารวมมากกว่า 200 ล้านบาท

2. การป้องกันเชิงรุก มุ่งลดความสูญเสียของประชาชนจากภัยหลอกลวงลงทุน เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนมีความรู้เท่าทัน รวมทั้งการปิดกั้นช่องทางหลอกลวงลงทุน และยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้า

ก.ล.ต. ได้ดำเนินการประสานงานกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มในการปิดกั้นการหลอกลงทุนได้ร้อยละ 100 ภายในระยะเวลา 7 นาที ถึง 48 ชั่วโมง โดยในเดือนตุลาคม มียอดขอคำปรึกษาและแจ้งเบาะแสสูงเพิ่มขึ้น ร้อยละ 100 จากเดือนสิงหาคม ซึ่งสะท้อนความต้องการของประชาชนในการขอคำปรึกษาว่าเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถดำเนินการปิดกั้นช่องทางหลอกลวงลงทุนจำนวน 3,134 บัญชี ในช่วง 1 ม.ค.-31 ต.ค. 2568

ก.ล.ต. มีความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) ในการปิดกั้นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่เข้าข่ายประกอบธุรกิจที่ไม่ได้รับอนุญาต เพื่อสกัดกั้นการใช้แพลตฟอร์มในต่างประเทศเป็นช่องทางการฟอกเงิน

รวมทั้ง ก.ล.ต. ยังยกระดับการดำเนินการมุ่งไปสู่การป้องกันเชิงรุก "Preventive Anti-Scam for All" ผ่านกลไก 3Cs เพื่อลดความสูญเสีย เพิ่มการรู้เท่าทัน และสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน ได้แก่ Consultation: ให้คำปรึกษาเชิงรุกเพื่อช่วยประชาชนตัดสินใจก่อนที่จะลงทุนหรือโอนเงิน Communication: จัดทำศูนย์รวมข้อมูลด้านหลอกลงทุน เผยแพร่ให้ประชาชนเข้าถึงและตรวจสอบได้ด้วยตนเอง โดยมี Preventive Communication Campaign เพื่อสื่อสารให้ประชาชน "เอะใจก่อนโอน" และ Collaboration: ขยายความร่วมมือเชิงรุกกับหน่วยงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างการป้องกันภัยหลอกลงทุน เช่น การปิดกั้นเพจมิจฉาชีพที่แอบอ้างผู้ประกอบธุรกิจฯ และบริษัทจดทะเบียน รวมถึงอยู่ระหว่างการพัฒนาความร่วมมือในการตรวจสอบเพื่อยืนยันตัวตนก่อนเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม

3. การประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ก.ล.ต. ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ระหว่าง 15 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน และในฐานะ ก.ล.ต. เป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงิน (Connecting the dots) ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อยกระดับในการติดตามและแก้ไขปัญหาในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ

ก.ล.ต. พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งประสานความร่วมมือภายใต้ข้อตกลงที่มีกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนในต่างประเทศ

ก.ล.ต. จึงขอให้ทุกฝ่ายได้มั่นใจว่า ก.ล.ต. ได้ดำเนินการในทุกรูปแบบเพื่อป้องกันและยับยั้งไม่ให้เกิดการฟอกเงินทั้งในตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเข้มข้น เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ