บลจ.กรุงศรี วางเป้าอัพ AUM ปี 69 โตทะลุ 8 แสนลบ.กระจายลงทุนตราสารหนี้-หุ้นสหรัฐ AI-Healthcare-เทคจีน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 20, 2025 17:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บลจ.กรุงศรี วางเป้าอัพ AUM ปี 69 โตทะลุ 8 แสนลบ.กระจายลงทุนตราสารหนี้-หุ้นสหรัฐ AI-Healthcare-เทคจีน

นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงศรี เปิดเผยว่า บริษัทมีทรัพย์สินภายใต้การบริหารเพิ่มชึ้นมาที่ 714,755 ล้านบาท เติบโต 10% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งสูงกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม 3% โดยกองทุนรวมยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัทและมีการเติบโตโดดเด่นถึง 13% ตั้งแต่ต้นปี สูงกว่าอุตสาหกรรม 6% การเติบโตที่แข็งแกร่งนี้ได้รับประโยชน์จากเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิกว่า 57,000 ล้านบาท คิดเป็น 23% ของเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิทั้งหมด

ทั้งนี้ กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี มีขนาดใหญ่อันดับที่ 5 ของอุตสาหกรรม (ข้อมูล ณ ก.ย. 68) โดยกองทุนรวมที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ กองทุนกรุงศรีสมาร์ทตราสารหนี้สะสมมูลค่า (KFSMART-A) มีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 35,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มตราสารหนี้ระยะสั้น และกองทุนกรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้-สะสมมูลค่า (KFAFIX-A) ซึ่งมีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 39,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ของอุตสาหกรรมในกลุ่มตราสารหนี้ระยะกลาง"

สำหรับแผนธุรกิจปี 69 คาดว่า AUM เติบโต 16% มาที่ 804,000 ล้านบาท โดยจะมาจากธุรกิจกองทุนรวม 618,000 ล้านบาท เติบโต 18% ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 124,000 ล้านบาท เติบโต 14% และธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 62,000 ล้านบาท เติบโต 6%

ในปี 69 บริษัทยังคงมุ่งพัฒนากองทุนและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ภาวะตลาด โดยเพิ่มความหลากหลายของกองทุนสกุลเงินต่างประเทศ รวมถึงกองทุนที่เหมาะกับผู้ลงทุนรายย่อยและผู้ลงทุนรายใหญ่ พร้อมขยายช่องทางจัดจำหน่ายร่วมกับพันธมิตร รวมทั้งยกระดับประสบการณ์ใช้งานผ่าน @ccess Mobile อย่างต่อเนื่อง

ด้านมุมมองเศรษฐกิจโลกปี 69 นายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น หลายประเด็นมีความชัดเจน เช่น การผ่อนคลายมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางการค้าที่ลดลง และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายประเทศ ค่าเงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มแข็งค่าจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่เงินเยนอ่อนค่าต่อเนื่องจาก

การที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย แม้เศรษฐกิจประเทศหลักจะฟื้นตัวแตกต่างกัน แต่ภาพรวมยังอยู่ในทิศทางขยายตัว เห็นได้จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มฟื้นตัวและเงินเฟ้อใกล้ระดับเป้าหมาย ส่วนเศรษฐกิจจีนยังเผชิญความท้าทายจากการชะลอตัวของการบริโภคและปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวจากการปรับขึ้นค่าจ้างและนโยบายของรัฐบาลใหม่

"ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีแรงขายทำกำไรระยะสั้น แต่พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดตราสารหนี้เริ่มฟื้นตัวจากทิศทางการลดดอกเบี้ย ซึ่งเหมาะกับการทยอยลงทุนของนักลงทุนระยะกลางถึงยาว ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจโลกมาจากการเติบโตของเทคโนโลยีและ AI รวมถึงการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และการยุติการลดขนาดงบดุลของเฟด (QT) วงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดโลก แต่ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม เช่น ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาการเมืองฝรั่งเศสที่อาจนำไปสู่วิกฤติในยุโรป และการแทนที่แรงงานด้วย AI ที่ส่งผลต่อการว่างงาน"
*ให้เป้าดัชนี SET ปี 69 ที่ 1,430 จุด

นายฑลิต โชคทิพย์พัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 68 เผชิญเรื่องท้าทายตั้งแต่ต้นปี ด้วยแรงขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดมียอดคงค้าง 2.3 แสนล้านบาท ตามมาด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่กระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวไทย มาตรการภาษีของสหรัฐ และปัญหาการเมือง

แต่ในปี 69 ความคาดหวังแรงขับเคลื่อนจากท่องเที่ยวลดลง ขณะที่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น อาจจะไม่ได้เห็นหุ้นแรลลี่เหมือนในอดีตทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง ทั้งนี้ขึ้นกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ด้วย อย่างไรก็ดี แรงขายของนักลงทุนต่างชาติน่าจะน้อยลงเพราะมีสัดส่วนถือหุ้นไทยน้อยมากแล้ว แต่จุดเด่นของหุ้นไทยยังมีก็คือ ผลตอบแทนเงินปันผลสูงมากกว่า 4%

บลจ.กรุงศรี ให้เป้าดัชนี SET ปี 68 ที่ 1,320 จุด และปี 69 ให้ไว้ที่ 1,430 จุด บน P/E 15 เท่า กำไรต่อหุ้น (EPS) เติบโต 6-7% หรือราว 94-95 บาท จากปี 68 ที่ 89 บาท โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยมี downside 15%

*ตราสารหนี้ยังน่าลงทุนในภาวะดอกเบี้ยขาลง

นางสาวพรทิพา หนึ่งน้ำใจ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า ภาพรวมตราสารหนี้ในปี 68 ธุรกิจกองทุนรวมเติบโตจากกองทุนตราสารหนี้ไทยในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเข้าสู่แนวโน้มขาลง และเก็งครึ่งแรกของปี 69 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง มาสู่ 1.00-1.25% จากปัจจุบัน 1.50% เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังชะลอตัวต่อเนื่องในปี 68-69 อัตราเงินเฟ้อติดลบในปีนี้และยังต่ำกว่า 1% ในปีหน้า

ขณะเดียวกัน ตราสารหนี้สหรัฐน่าจะเปิด upside ทำกำไรหรือมีอัตราผลตอบแทนได้มากกว่าตราสารหนี้ไทย โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ที่ 4% และมีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยเหลือ 3% ฉะนั้น จึงแนะนำให้เลือกลงทุนตราสารหนี้ทั้งไทยและสหรัฐ

*ธีม AI ยังมาแรงพ่วง Healthcare

นายจาตุรันต์ สอนไว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า บรรยากการการลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศฟื้นตัวหลังความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐผ่อนคลายมากขึ้น แนวโน้มเฟดปรับลดดอกเบี้ยยังมีอยู่แม้ว่าในเดือนธ.ค.คาดว่าเฟดจะยังตรึงดอกเบี้ยอยู่ก็ตาม และในวันที่ 1 ธ.ค. 68 สหรัฐจะยุติการทำ QT จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบและเป็นแรงหนุนสำคัญต่อหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง

ส่วนความกังวลฟองสบู่ AI กดดันราคาหุ้นธีมนี้ลงมามาก อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหุ้นสหรัฐจะแพงแล้วแต่ยังควรลงทุนต่อเนื่อง (Stay Invest) แม้อัตราการเติบโตไม่มากเหมือนก่อน แต่คุณภาพของหุ้นมีมากขึ้น ส่วนหุ้นกลุ่ม Healthcare กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง จากราคาหุ้นที่ถูกและมีปัจจัยหนุนผลประกอบการชัดเจนมากขึ้น

นายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า ธีมการลงทุนที่น่าสนใจมี 4 ธีม

- ธีม AI สหรัฐ เป็นธีมการลงทุนที่สำคัญที่สุดในปี 69 ต่อเนื่องจากปี 68 แม้ราคาสูง มองว่ายังไม่ได้เกิดฟองสบู่แตก

- ธีมหุ้นสหรัฐ ยังน่าสนใจทั้งระยะสั้นและระยะยาว ปี 69 จะได้รับอานิสงส์จากกลุ่ม AI และมาตรการลดภาษี One Big Beautifull Bill

- ธีมเทคจีน จากจีนพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีทำให้มีการพัฒนา AI อย่างรวดเร็ว และ Valuation ยังถูกว่าหุ้นเทคสหรัฐ

- ธีม Healthcare ปัจจัยลบที่กดดันผ่อนคลายลงหลังสหรัฐฯตกลงผ่อนปรนภาษียาให้ผู้ผลิตนอกประเทศ และราคาหุ้นไม่แพง ปัจจุบัน Valuation discount 14%

นายเกียรติศักดิ์ แนะนำจัดพอร์ตกองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ สัดส่วน 45% กองทุนหุ้นต่างประเทศ สัดส่วน 48% โดยเกินครึ่งเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ที่มีธีมหุ้นเทค หุ้นกลุ่ม Healthcare ส่วนกองทุนหุ้นไทยแนะนำถือ 2% และกองทุนทองคำ 5%

"โดยสรุปการจัดพอร์ตปี 69 แนะนำให้กระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ แต่หุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้โอกาสเติบโตสูงสุด อัตราเงินเฟ้อสหรัฐแม้ขยับขึ้นจากผลของมาตรการภาษี แต่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ขณะที่นโยบายการเงินและการคลังของประเทศหลักทั่วโลกยังสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้านตราสารหนี้ระยะกลางยังให้ผลตอบแทนที่ดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและช่วยลดความผันผวนของพอร์ต ส่วนทองคำควรมีสัดส่วน 5-10% ของพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง แม้ระยะสั้นราคาจะปรับตัวขึ้น แต่ระยะยาวยังได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก โดยแนะนำการทยอยสะสมเมื่อราคาย่อตัว"นายศิระ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ