MFC ส่งกองทุนหุ้นไทยปันผล M-HD สร้างผลตอบแทนยาว ขาย IPO 21-27 พ.ย.68

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 20, 2025 17:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บลจ.เอ็มเอฟซี นำเสนอ "กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เซ็ท ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน" (M-HD) มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีผลตอบแทนรวม SET High Dividend 30 (SETHD TRI) เป็นหลัก โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV เปิดเสนอขาย IPO ครั้งแรกระหว่างวันที่ 21-27 พ.ย. 68  เงินลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 1,000 บาท
สำหรับดัชนี SETHD TRI รวบรวมหุ้นไทยที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง 30 บริษัท ซึ่งมีเกณฑ์คัดเลือกที่สำคัญ เป็นหุ้นในดัชนี SET100 จ่ายปันผลต่อเนื่อง 3 ปี และ อัตราการจ่ายเงินปันผลไม่เกิน 100% ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปรับรายชื่อหุ้นในดัชนี SETHD ทุกๆ 6 เดือน (มิ.ย.และธ.ค.) ทั้งนี้ อุตสาหกรรมหลักของหุ้นใน SETHD ได้แก่ กลุ่มธนาคาร สัดส่วนสูงถึง 55% ของน้ำหนักรวมทั้งหมดในดัชนี รองลงมากลุ่มพลังงาน 24% กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 8% กลุ่มพาณิชย์ 4% และกลุ่มอาหาร 4% (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 68)
นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ MFC เปิดเผยว่า จุดเด่นของกองทุน M-HD จะคัดเลือกหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลดีและสม่ำเสมอจากหุ้น 30 บริษัทบนดัชนี SETHD เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันมูลค่าหุ้นหลายบริษัทยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังอยู่ในระดับเฉลี่ย 5-6% ช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการลงทุนในระยะกลางถึงยาว
นอกจากนี้ ความน่าสนใจของหุ้นปันผลสามารถสร้างผลตอบแทนโดดเด่นกว่าดัชนี SET Index  โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ย. 63 พ.ย. 68) ดัชนี SETHD ปรับตัวเพิ่มขึ้น 25.48% ในขณะที่ดัชนี SET ลดลง 3.34%  และหากพิจารณาผลตอบแทนย้อนหลังเป็นรายปีเมื่อเทียบดัชนี SETHD TRI กับดัชนี SET TRI (ผลตอบแทนรวมเงินปันผล) พบว่า SETHD TRI ในปี 2567 ให้ผลตอบแทนสูงถึง 8.44% ขณะที่ดัชนี SET TRI ผลตอบแทน 2.33% ,ปี 2566 ดัชนี SETHD TRI ให้ผลตอบแทน -1.94% ขณะที่ SET TRI ติดลบมากถึง -12.66%, ปี 2565 ดัชนี SETHD TRI ให้ผลตอบแทน 7.37% ขณะที่ SET ผลตอบแทน 3.53% เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 69 คาดว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นการบริโภค การส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว และโครงการช่วยเหลือประชาชน เช่น โครงการพักหนี้ ลดภาระค่าครองชีพ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก อาทิ ความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่อาจดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดกว่าที่คาดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งอาจกดดันกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายและความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยง

"ตลาดหุ้นไทยปรับฐานไปในระดับหนึ่งแล้ว เพื่อสะท้อนปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากปัจจัยสนับสนุนภายใน เช่น การลงทุนจากภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน การลดดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงการทยอยปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในทิศทางที่ดีขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยบวกช่วยประคับประคองภาพรวมของตลาดให้ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะกลางถึงยาว" นายธนโชติ กล่าว
ปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นในปี 69  ได้แก่ 1.การเลือกตั้งในประเทศ คาดว่าจะเกิดขึ้นไม่เกินไตรมาส 2 ส่งผลให้เกิดความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจช่วยเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

2.แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และของธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยคลายแรงกดดันต่อตลาดการเงินโลก และเอื้อต่อกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่รวมถึงหุ้นไทย 3.การลดดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงานที่อยู่ในระดับทรงตัวหรือลดลง ช่วยลดต้นทุนของภาคธุรกิจ และ 4.มูลค่าหุ้นของหลายบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังอยู่ในระดับสูง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ