ฝันร้ายของมาร์เก็ตติ้งโบรกฯ "มนุษย์ทองคำ"
โลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทั้งเทคโนโลยี งาน อาชีพ การเรียนรู้ และวิธีใช้ชีวิต ถ้าเราไม่ปรับตัว หรือไม่พัฒนา เราอาจเสียโอกาส มีความสามารถที่ตามหลังคนอื่น หรือ แข่งขันได้ยาก
การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แม้ทีละน้อย จะช่วยให้เราเติบโต ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และมีทางเลือกที่ดีได้ในอนาคต
คำแนะนำดังกล่าว สามารถนำไปปรับใช้ได้ แม้แต่อาชีพ "มาร์เก็ตติ้ง" ของโบรกเกอร์ หรือ "มนุษย์ทองคำ" ที่ในสมัยก่อน นั่งรอลูกค้ามาส่งออเดอร์ว่าวันนี้จะเทรดหุ้นอะไร?
แต่ในวันนี้ถ้ายังทำเหมือนเดิม สุดท้ายจะ"สูญพันธุ์" จากวงการไปอย่างเงียบ ๆ อย่างที่เป็นข่าวอยู่ในทุกวันนี้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในแวดวงตลาดหุ้นที่กำลังเปลี่ยนไป ชนิดที่ว่า "คนในวงการไม่รู้ตัว" หรือ "แกล้งไม่ยอมรับความจริง" จนกลายเป็นสาเหตุแห่งการทำลายล้างแบบถอนรากถอนโคนสำหรับคนในอาชีพนี้
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่ได้ถามหาความได้เปรียบที่ว่า "มาร์เก็ตติ้งคนใด อยู่มานานแค่ไหน?" แต่คุณควรตอบคำตอบที่ว่า "คุณยังมีคุณค่าอะไรที่ App และ Robot ทำงานแทนคุณไม่ได้?"
หลายคนอาจยังเชื่อมั่น หรือยึดติดกับเรื่องราวในอดีตในความเป็น"มนุษย์ทองคำ" โดยคิดว่าตนเองมีประสบการณ์สูง ลูกค้าเยอะ อินไซด์เยอะ
แต่วันนี้ โลกใบเดิมใบเก่าที่หลงอยู่นานกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนทำให้หลายคนเกิดความโมโห ไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งๆ ที่การหมุนรอบตัวเองของโลก เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ยอมรับได้เกิน 99% แต่ยังมีคนบางประเภทที่มองว่าการหมุนของโลกกำลังสร้างความเสียหายราวกับแผ่นดินไหวให้กับพวกเขา ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันเป็นเพียงการหมุนของโลกเราแค่นั้นเอง
เมื่อก่อนการซื้อขายหุ้นต้องผ่านคน ลูกค้าโทรสั่งออร์เดอร์ ต้องพึ่งพามาร์เก็ตติ้งแทบจะทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะฝาก-ถอน-โอนเงิน หรือหุ้น
ความสัมพันธ์ คือ ทุกอย่างที่ผูกมัดลูกค้า ใครคุยเก่ง ดูแลดี มีข่าวไว มักได้ออร์เดอร์ ได้โบนัส และที่สำคัญ คือ "อยู่รอดสบาย" ไม่ตกงาน โดยไม่มีความเสี่ยงจากการลงทุนเหมือนลูกค้า
ในบางรายได้ค่าคอมมิชชั่นสูง มีรายได้ทะลุเพดาน โดยไม่จำเป็นต้องรู้ลึก หรือ รู้มาก ก็อยู่ได้ ขอแค่บริการดี พูดจาดี มีมารยาท กล่าวคือ ในยุคนั้น "มาร์เก็ตติ้ง" คือศูนย์กลางที่เป็นตัวกลางเพื่อเข้าสู่จักรวาลแห่งการลงทุน
แต่วันนี้ ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
1.ปัจจุบัน เรามี App เทรดหุ้นออนไลน์แทนคน ลูกค้ากดซื้อขายหุ้นได้เอง โบรกเกอร์แทบไม่มีความจำเป็นต้องจ้างมาร์เก็ตติ้งมารอสายลูกค้าให้สิ้นเปลืองอีกต่อไป เผลอๆ ฟังก์ชันในมือถือครบครันกว่าโต๊ะเทรดในอดีตหลายเท่า
2.ค่าคอมมิชชั่นลดลงอย่างต่อเนื่อง สำหรับโบรกเกอร์ที่ไม่เน้นขายความมีคุณภาพให้ลูกค้า ก็มักจะมีการแข่งขันตัดราคาค่าคอมฯ หรือให้ค่าคอมเป็น 0% ก็ยังอยู่ไม่ได้ จนต้องไล่ หรือปรับลดพนักงานลง
สวนทางกับโบรกเกอร์หลายแห่งที่ไม่ยอมลดราคาค่าคอมฯ และไม่ใช้วิธีดึงดูดลูกค้าด้วยค่าคอมฯราคาถูก แต่ให้บริการข้อมูลการลงทุนที่โบรกเกอร์อื่นไม่มีให้ รวมถึงมีบริการสินค้าอื่นๆ ไม่ใช่แค่เทรดหุ้นเหมือนเมื่อในอดีต
3.ลูกค้ารุ่นใหม่เกิดมากับเทคโนโลยี คนรุ่นใหม่ๆ ไม่ได้โตมากับการโทรศัพท์หามาร์เก็ตติ้งเพื่อส่งคำสั่งซื้อ-ขายหุ้นอีกต่อไป แต่หันมาเทรดหุ้นผ่านแอปพลิเคชันด้วยตัวเองมากขึ้น เพราะง่าย สะดวก และรวดเร็ว
เนื่องจากเทคโนโลยีทำให้การซื้อขายหุ้นเข้าถึงง่ายขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาคนกลางในการส่งคำสั่งซื้อขาย มีข้อมูลแบบเรียลไทม์ให้วิเคราะห์ได้เองโดยไม่ต้องโทรถาม เพื่อลดขั้นตอนและประหยัดเวลา
4. ข้อมูลไม่ได้อยู่กับคนวงในอีกต่อไป ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ คลิปสอน วิเคราะห์ตลาด มีอยู่ทุกแพลตฟอร์ม ลูกค้าหาเองได้โดยไม่ต้องโทรถามใคร
ในเมื่อทุกอย่างอยู่ปลายนิ้วที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้แล้วก็คงจะมีคำถามว่า "แล้วเราจะมีมาร์เก็ตติ้งไปทำไม?"
หลังจากที่มีเทคโนโลยีที่เป็นทางเลือกมากขึ้น ลูกค้ามักย้ายไปเทรดกับแอปโดยตรง จนทำให้ "มูลค่า" ที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง "มาร์เก็ตติ้ง" กับ "ลูกค้า" ลดลงเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ ยังไม่นับรายได้ที่หายไปตามปริมาณออร์เดอร์ หรือค่าคอมฯ ที่เคยสูงในอดีต
สุดท้ายมาจบตรงคนที่ไม่ upskill หรือ ไม่พัฒนาทักษะใหม่ ไม่เพิ่มความสามารถเพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิม จนทำให้ตามโลกไม่ทัน กลายเป็น "คนล้าสมัย"
สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะคนไม่เก่ง แต่เพราะโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
"มาร์เก็ตติ้ง" ในโลกยุคใหม่ ไม่ใช่แค่"คนรับคำสั่ง" อย่างที่เคยเป็นมา แต่คือ "ที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุน"
บุคลิก ควรมีมุมมองตลาดแบบเข้าใจภาพใหญ่ สามารถคิดวางแผนการเงิน การจัดพอร์ต ความเสี่ยง ให้กับลูกค้าได้ทุกประเภท โดยใช้ระบบและข้อมูลช่วยตัดสินใจ เพื่ออ้างอิงและปลอดภัยในการแนะนำในแต่ละครั้ง
รวมถึง เป็นคนที่ลูกค้าไว้ใจเวลามีคำถามสำคัญ ไม่ใช่แค่สนทนาแค่ตอนส่งออเดอร์
"มนุษย์ทองคำ" รุ่นใหม่ ไม่ใช่คนที่มีลูกค้าเยอะ แต่คือคนที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัยและสามารถสร้างการเติบโตให้พอร์ตลงทุนได้ในทุกสภาวะตลาดไม่ว่าจะขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม
การ upskill ความรู้ด้านการลงทุนให้ลึกขึ้น จากเดิมแค่หุ้นรายตัว พัฒนาเป็นที่ปรึกษาทั้งพอร์ตการลงทุน
ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือทำงาน มีความรู้เรื่องกราฟ ระบบคัดหุ้น อย่างแม่นยำ เน้นบริการเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่ส่งคำสั่ง
ข้อสำคัญ ลูกค้าต้องได้รับมากกว่าแค่การ "เทรด"
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้จะฆ่ามาร์เก็ตติ้ง แต่กำลังจะเป็นตัวคัดแยกว่าใครควรรอดเป็นมนุษย์ทองคำรุ่นใหม่ เพราะคนที่รอคำสั่ง คือ คนที่รอสูญพันธุ์แน่นอน
อนาคตของวงการนี้ ไม่ได้เป็นของคนที่เคยเก่ง แต่เป็นของคนที่เรียนรู้และยอมรับการเปลี่ยนแปลง มากกว่าที่จะไปเสียเวลานั่งพิมพ์ผ่านโซเชียล ต่อต้านระบบที่ตลาดหุ้นทั่วโลกใช้ ประหนึ่งของความตกใจที่ว่าการหมุนของโลก คือ การเกิดแผ่นดินไหว แบบนี้คงจะสูญพันธุ์ในไม่ช้า
ธิติ ภัทรยลรดี