บมจ.การบินไทย [THAI] เข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อกับการเติบโตในระยะกลางถึงระยะยาว แม้จะได้พิสูจน์ตัวเองแล้วในช่วงแผนฟื้นฟูกิจการว่าทำรายได้และกำไรได้ดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมด และนำหุ้น THAI กลับเข้าไปผงาดใน SET ได้อีกครั้ง ราคาหุ้น THAI ทะยานขึ้นมาสูงต่อเนื่อง 2 เดือนกว่า โดยทำจุดสูงสุดที่ 19.40 บาท (14 ส.ค.) จากราคาหุ้นเพิ่มทุน 4.48 บาท
แต่เมื่อต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังเสนอชื่อบอร์ดใหม่ 9 คน และขอเพิ่มจำนวนบอร์ดเป็น 15 คน หลายคนกังวลถึงความเป็นอิสระในการบริหารงาน ทำให้ราคาหุ้น THAI ลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 8.15 บาท (18 พ.ย.)

ผู้บริหารแผนและผู้บริหาร THAI ได้วางแผนการเติบโตในอีก 10 ปีข้างหนั ด้วยการทำสัญญากับค่าย "โบอิ้ง" และ "จีอี แอโรสเปซ" เพื่อจัดหาเครื่องบินแบบลำตัวกว้างพิสัยกลางและไกลพร้อมเครื่องยนต์จำนวน 45 ลำ รวมถึงสิทธิจัดหาเครื่องบินเข้าฝูงบินเพิ่มเติม (Option Order) อีก 35 ลำที่จะทยอยเข้ามาตั้งแต่ปี 73 ตามแผนกลยุทธ์ในการพลิกบทบาทไปสู่ Network Airline
แต่ก่อนที่จะรับเครื่องบินใหม่เข้ามาในปี 73 การบินไทยจำเป็นต้องหาเครื่องบินลำตัวกว้างเข้ามาใช้ชั่วคราวในช่วงปี 69-73 ซึ่งก่อนหน้านี้ทยอยเช่ามาบ้างแล้ว และปี 68 ก็เตรียมเช่าเพิ่มอีก 9 ลำเพื่อใช้งานในช่วง 5 ปีนี้ ตามแผนงานของฝ่ายบริหารเพื่อขยายเครือข่ายและขยายตลาด สำหรับการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว
อย่างไรก็ดี ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงจากผู้บริหารแผนมาสู่คณะกรรมการบริษัทชุดใหม่ ทำให้การบริหารงานต้องสะดุดไป เพราะมุมมองของบอร์ดใหม่กับผู้บริหารแผนไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน ล่าสุดสั่งชะลอการเช่าเครื่องบินเพื่อรอผลศึกษาของที่ปรึกษาคณะพิเศษทบทวนความจำเป็นคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลาย พ.ย.นี้
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THAI ให้สัมภาษณ์กับ "อินโฟเควสท์" ว่า การบินไทยจะเช่าเครื่องบิน 9 ลำมาได้หรือไม่ ขึ้นกับที่ปรึกษาที่รับโจทย์จากคณะกรรมการบริษัทไปศึกษาความจำเป็นของการวางกลยุทธ์บริษัทว่าต้องการเป็นสายการบินประเภทใด
"ผมเชื่อว่าเราได้พิสูจน์ผลการเป็น Network Airline มาแล้ว 3-4 ปี รายได้ที่ดีขึ้น Cabin Factor ดีขึ้น ต้นทุนแข่งขันได้ ใช้เครื่องบินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่หากที่ปรึกษาศึกษาบอกจะไปทำ Point to Point ต้องมาดูข้อแนะนำและเหตุใดถึงเปลี่ยน"นายชาย กล่าวว่า ตามที่ยื่นไฟลิ่ง Business Plan ระบุว่าการบินไทยจะเติบโตตั้งแต่ปี 69 เป็นต้นไป และเมื่อถึงปี 76การบินไทยจะมีเครื่องบินรวมทั้งหมด 150 ลำ แต่ต้องเป็นการขยายฝูงบินอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถ้าจำนวนฝูงบินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็จะทำให้ไม่สามารถทำการตลาดได้ทัน
ดังนั้น ตามแผนของบริษัทจะทยอยเติบโตเริ่มตั้งแต่ปี 69 เป็นต้นไป ซึ่งเราจะมีฝูงบินใหญ่เข้ามาใช้ในช่วงสั้น ปี 69-73 หรือประมาณ 5 ปี เป็นช่วงที่เรารอเครื่องบินฝูงใหญ่ 9 ลำที่ระบุไว้ก่อนหน้าเป็น โบอิ้ง777-300ER และ โบอิ้ง 787 วันนั้นเราไม่ได้เครื่อง 2 ฝูงนี้มาตามแผน เราก็ Short Fall
"เราพยายามทำตามแผน แต่ว่ามันหาเครื่องบินไม่ได้ และวันนั้น 9 ลำก็โดนสายการบินอื่นแย่งไป นั่นคือฝ่ายบริหารพยายามจะหาเครื่องบินมาชดเชยกำลังการผลิตที่หายไปจากแผน เราไม่ได้ดึงดันเอาเครื่องบินเข้ามาโดยไม่มีความจำเป็น แต่เป็นไปตามแผน" นายชาย กล่าวสิ้นปี 68 การบินไทยจะมีเครื่องบินทั้งหมด 80 ลำ แต่นำมาใช้งานได้จริง 78 ลำ เพราะอีก 2 ลำคือ แอร์บัส A321 Neo เพิ่งรับมอบเข้ามาใน ธ.ค.68 กว่าจะทำการบินก็คือเดือน ม.ค.69
ในปี 69 จะรับมอบเครื่องบินแอร์บัส A321 Neo อีก 15 ลำ ขณะที่จะมีเครื่องบินเช่าโบอิ้ง 787-9 ที่ได้เช่ามาก่อนหน้านี้ จำนวน 3 ลำทยอยเข้ากลางปี 69 เป็นต้นไป แต่คืนเครื่องบินเช่า 4 ลำ คือ เครื่องบินโบอิ้ง 787-8 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินแอร์บัส เอ 350 จำนวน 2 ลำ รวมทั้งปลดระวางเครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ออก 2 ลำ ทำให้สิ้นปี 69 จะมีเครื่องบินเพิ่มเป็น 93 ลำ เป็นเครื่องบินใช้งานได้ 91 ลำ
"เราก็มีความพยายามและมีความหวังว่า เราจะหาเครื่องบินมาทดแทน 9 ลำนี้ได้ เพื่อใช้ใน 5 ปีนี้ (ปี 69-73) ก็ยังไม่ได้หมดความพยายาม"นายชาย กล่าวว่า หากการบินไทยสามารถหาเครื่องบินเช่าได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะทุกวันนี้ตลาดการบินมีดีมานด์เข้ามามาก แต่เราไม่มีเครื่องมือตักตวงดีมานด์นั้น และก็จะเกิดความไม่สมดุลของฝูงบิน เพราะปีหน้าการบินไทยจะรับมอบเครื่องบินลำตัวแคบจำนวนมาก คือ A321 Neo แต่เครื่องบินลำตัวกว้างกลับลดลง
"ณ วันนี้เรายังไม่ปรับแผนการบินแต่อย่างใด เพราะยังไม่ชัดเจนว่าจะเช่าได้หรือเช่าไม่ได้"นายชาย กล่าวประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THAI กล่าวว่า หากไม่สามารถหาเครื่องบินเช่า 9 ลำได้ จะมีผลกับรายได้ของการบินไทยที่ทำไม่ได้ตามแผน ซึ่งหากบริษัทฯไม่สามารถหาเครื่องบินลำตัวกว้างได้ 9 ลำ จะส่งผลบกระทบตั้งแต่ปี 69-73 เพราะ capacity หายไปประมาณกว่า 10% โดยต้องรอเครื่องบินใหม่ที่จะเข้ามาในปี 73
ปัจจุบัน การบินไทยมีอัตราการใช้เครื่องบิน 13.8 ชม./วัน/ลำ แต่หากนับเฉพาะเครื่องบินลำตัวกว้าง การใช้เครื่องบินสูงกว่า 14 -15 ชม./วัน/ลำ
ปัจจุบัน สัดส่วนเครื่องบินลำตัวแคบกับลำตัวกว้างอยู่ที่ 20/80 แต่ปีหน้าเครื่องบินลำตัวแคบจะเพิ่มมาเกือบ 40% ก็จะมีผลการส่งต่อของผู้โดยสาร หรือ Connecting Passenger ทั้งนี้ กลยุทธ์ระยะยาว การบินไทยกำหนดสัดส่วนลำตัวแคบกับลำตัวกว้างที่ 30/70 ในปี 76
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THAI กล่าวว่า ขณะนี้ระยะสั้นยังมีจุดท้าทายเรื่อง Capacity ว่าจะหาเครื่องบินเช่ามาเพิ่มได้หรือไม่ ถ้าไม่มีของขาย สัดส่วนการตลาดก็คงไม่ดีขึ้นจากปัจจุบัน 26% ในไทย (สนามบินสุวรรณภูมิ) เป็นผลจากจำนวนฝูงบินที่ลดลง จากเมื่อปี 62 การบินไทยมีส่วนแบ่งตลาด 37% จากเครื่องบินทั้งหมด 103 ลำ
นายชาย กล่าวว่า ที่ได้วางแผนไว้ในปี 72 การบินไทยจะมีสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ 35% จากการเพิ่ม Capacity
อย่างไรก็ดี ปีหน้าคาดว่ารายได้ของ THAI ยังเติบโต แต่อาจไม่ได้สูงตามแผน เพราะมีเครื่องบินลำตัวแคบเข้ามามาก และกังวลว่าจะมีการแข่งขันด้านราคากันอีก เพราะถ้าการบินไทยมีเครื่องบินลำตัวแคบจำนวนมากก็ต้องบินใน Regional Route แล้วเราไม่มีผู้โดยสารเชื่อมต่อมาเพื่อขายเป็น Network ก็คงต้องลงไปแข่งกับ Regional ที่เป็นการบินแบบ point to point ตรงๆ
ทั้งนี้ หลายสถาบันธุรกิจการบิน มองทิศทางเดียวกันหมดว่าภาพรวมธุรกิจการบินในปี 69-70 ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ปีละ 4-5% โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นายชาย กล่าวว่า ความพยายามที่กระทรวงการคลังเคยจะเข้ามามีบทบาทในการบินไทยก่อนที่จะออกจากแผนฟื้นฟูฯ ในเดือน พ.ย.67 กระทรวงการคลังขอแก้ไขแผนฟื้นฟูฯ และเพิ่มผู้บริหารแผน วันนั้นทำให้เกิดความไม่แน่นอนและความกังวลใจจากตลาด ทำให้การขายหุ้นเพิ่มทุนในวันที่ 6-12 ธ.ค.67 ไม่หมด
แม้ว่ากระทรวงการคลังจะไม่นำการบินไทยดึงเป็นรัฐวิสาหกิจอีก แต่ที่สำคัญกว่า คือบริหารงานแบบเอกชนจริงๆ ที่จะมีการตัดสินใจเร็ว คล่องตัว เพราะหากตัดสินใจช้าไป 1-2 เดือนก็มีผลทางธุรกิจ อย่างกรณีการสั่งซื้อเครื่องบินฝูงใหม่ 45 ลำและออพชั่น 35 ลำกับโบอิ้งเมื่อปลายปี 66 หากตัดสินใจล่าช้ากว่านี้การดำเนินธุรกิจก็อาจสะดุดได้ เพราะการรับมอบเครื่องบินจะล่าช้าออกไปมาก
ทั้งนี้ ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ การบินไทยจัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มจำนวนกรรมการเป็น 15 คนจาก 11คนในปัจจุบัน และเลือกกรรมการใหม่ 9 คน จากที่กรรมการเดิมออก 4 คนและเข้าไปอีก 4 คน รวมถึงกรรมการที่เพิ่งลาออกไป 1 คน โดยกระทรวงการคลังเสนอขื่อกรรมการ 9 ราย และผู้ถือหุ้นที่แปลงหนี้เป็นทุน เสนอ 2 ราย
นายชาย กล่าวว่า สิ่งที่ยืนยันว่าต่างกันแน่ๆ คือ Attitude วิธีการทำงานของพนักงานการบินไทยเปลี่ยนไปชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารหรือพนักงาน เปลี่ยนไปจากเดิมมาก
"แต่ก่อนเราเหมือนม้าที่อยู่ในคอก ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ไม่เคยปล่อยม้าให้ออกไปวิ่งเหมือนม้าป่าที่แข็งแรง วันนี้เราเป็นม้าป่าที่แข็งแรง เจ้าของจะนำเรากลับเข้าไปในคอกใหม่ไหม"นายชาย กล่าวว่า เครื่องบินในปัจจุบัน โบอิ้ง 777-300ER มีจำนวน 3 ลำยังมีชั้น First Class รองรับอยู่ ซึ่งใช้บินไปเส้นทางลอนดอน , โตเกียว, โอซาก้า แต่เครื่องบินใหม่ที่ได้สั่งซื้อไว้แล้ว หรือเครื่องบินเช่าจะไม่มีชั้น First Class โดยจะจัดแบ่งเป็น Business Class, Premier Economy และ Economy
"เราดูเทรนด์แล้ว ผู้โดยสารที่เดินทางด้วย First Class ลดลง แม้กระทั่งผู้โดยสาร Corporate ก็ลดการให้สิทธิ จะเห็นว่าตลาด First Class มีจำกัด แต่เราไม่ได้ทิ้งความเป็นพรีเมียม โดยในชั้น Business Class แถวแรก ได้ใส่ product ที่ดีกว่า Business Class ปกติเข้าไป เป็นทางเลือกให้ผู้โดยสาร การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นไปตาม Market Trend ซึ่งสายการบินอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้"นายชาย กล่าวว่า เครื่องบินที่เหมาะทำชั้น First Class คือ โบอิ้ง 777-300ER หรือ แอร์บัส 350-1000
เมื่อพิจารณาตัวเลขย้อนหลังในแง่รายได้ Cabin Factor ของชั้น First Class ไม่ได้สูงอย่างที่คิด โดยเฉลี่ยมี 65% โดยที่ผ่านมาการจอง First Class เป็นช่วงเวลาสั้นที่มีการเดินทางสูง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลต่างๆ ขณะที่ค่าใช้จ่ายของ First Class มีอัตรา Breakeven สูง ทั้งที่นั่งให้บริการเป็นเฉพาะเจาะจง ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูง และค่าใช้จ่ายเรื่องการซ่อมบำรุง จึงเป็นที่มาว่าเครื่องบินชุดใหม่ มีแต่ Business Class ซึ่งแถวแรกจะเป็น Business Class plus
https://youtu.be/0oCjdpDVYus