ขนาด "นานา ไรบีน่า ยังมี hardware wallet เก็บไว้กับตัว!!
ล่าสุดมีการเปิดเผยรายการทรัพย์สินของ "นานา" ที่ถูกยึดจากคดีฉ้อโกง และหนึ่งในนั้นมี Hardware wallet ยี่ห้อ Ledger Nano X ด้วย โดยตำรวจสันนิษฐานว่า "นานา" อาจใช้คริปโทเป็นเส้นเงินในกรณีฉ้อโกงก็เป็นได้ แต่ Hardware wallet ที่ยึดได้นั้น จะเปิดออกมาดูได้หรือไม่? มีคริปโทอยู่ในนั้นเท่าไหร่? ต้องรอดูฝีมือของตำรวจไซเบอร์ไทยสักหน่อย!!
ตอนนี้ไม่มีข่าวไหนดังกว่าข่าวของ "นานา ไรบีน่า" ที่ถูกจับและยึดทรัพย์สิน ด้วยข้อหาฉ้อโกง และ พ.ร.ก.การกู้ยืมเงิน โดยทรัพย์สินที่ยึดมานั้น มีตั้งแต่โทรศัพท์ iphone 7 เครื่อง, art toy bearbrick, กระเป๋า hermes berkin, กระเป๋า louis vuitton, จิวเวอรี่แบรนด์ต่างๆ, รถยนต์ mini coper และที่สำคัญพบ ledger nano X ด้วย
หาก ledger nano X นี้เป็นของ "นานา" จริง แน่นอนว่าจะต้องมีคริปโทฯ บางส่วนเก็บไว้ใน hardware wallet นี้แน่นอน แต่จะมีมากมีน้อย ก็ต้องรอดูฝีมือตำรวจไซเบอร์ว่าจะกู้ หรือเปิดออกมาดูได้หรือไม่?
จริง ๆ แล้วหลักการของ hardware wallet จะมี seed phrase คือเป็นหัวใจสำคัญ ต่อให้เราทำ hardware wallet หาย หรือจะถูกใครเอาไปก็ไม่ต้องกลัว หากเรามี seed phrase อยู่ในมือ
แล้วตัว seed phrase คืออะไร?? ตัว seed pharse คือชุดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ จำนวน 12-24 คำ ในการกู้กระเป๋าดิจิทัล(แล้วแต่รุ่น) ในปัจจุบัน hardware wallet คือการเก็บคริปโทฯ ที่ปลอดภัยที่สุด เพราะว่าเจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ตัดการเชื่อมต่อจากอินเตอร์เน็ตออกอย่างสิ้นเชิง ฟีลเหมือนตู้เซพที่บ้าน ที่ต่อให้หายไปหรือถูกขโมยไป เราก็ยังเอาทรัพย์สินของเรากลับมาได้ตลอด แต่ถ้า seed phrase หลุดไปก็ไม่แน่เหมือนกัน
งานนี้ต้องรอดูแล้วว่าตำรวจไซเบอร์จะมีวิธีจัดการยังไง??
หากบอกว่าตอนนี้ Strategy ของพ่อใหญ่ Michael Saylor กำลังประสบปัญหาหนักก็คงไม่แปลก เพราะหากเราดูราคาหุ้น MSTR ในรอบเดือน ตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย.จนถึงเช้าวันนี้ ราคาหุ้น Strategy ร่วงลงมาแล้วกว่า 28.78% โดยตอนนี้ทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 188 ดอลลาร์ ฟื้นตัวขึ้นมาจากเมื่อวานนิดหน่อย
สาเหตุหลักที่ราคาหุ้นร่วงก็คือความผันผวนของตลาดคริปโทฯ ที่ทำให้บิทคอยน์ร่วงลงแรงเช่นกัน แล้ว Strategy ที่เป็นบริษัทที่มีกลยุทธ์ซื้อบิทคอยน์เก็บให้ได้มากที่สุด แถมถือบิทคอยน์อยู่มากด้วย จะไม่ได้รับผลกระทบได้อย่างไร
และแน่นอน ช่วงตลาดร่วงหนัก ๆ เสียงวิจารณ์เพียบ อย่างนาย Ross Gerber, CEO ของ Gerber Kawasaki Wealth ก็ยังโพสต์บน X ว่า "ผมกำลังคิดจะเปิดบริษัทซื้อทองคำแล้วเอาเข้าตลาดหุ้น จากนั้นคุณสามารถจ่ายเงินซื้อหุ้นของผมแพงกว่าทองคำที่ผมถืออยู่ 1.5 เท่าได้ เพราะธุรกิจซื้อทองมันพิเศษมาก"
"อันที่จริงแล้ว โมเดลธุรกิจแบบนี้ เหมาะกับการซื้อในราคาส่วนลดมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะทำให้ต้นทุนบวมและทำลายมูลค่าของสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่" พร้อมแท็ก MSTR และ BTC ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายถึงใคร!
แต่ไม่ต้องรอนาน เพราะ Michael Saylor ได้มีการ live ผ่านแพลตฟอร์ม X เกี่ยวกับกลยุทธ์สำคัญ นั่นคือการตั้งคลังสำรองเงินสดกว่า 1.44 พันล้านดอลลาร์ เพื่อนำมาใช้จ่ายเงินปันผลและดอกเบี้ยต่าง ๆ รวมไปถึงทำหน้าที่เป็นสภาพคล่อง และเบาะกันกระแทกในยามที่ตลาดเกิดความผันผวน
ตัวคลังสำรองนี้ถือเป็นไม้ตายเด็ด โดยมีเป้าเพื่อสร้างหลักประกันในการจ่ายเงินปันผลให้ครอบคลุมระยะเวลาอย่างน้อย 12 ถึง 24 เดือนหรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ การบริหารจัดการเงินก้อนนี้จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนได้ตามสภาวะตลาดและข้อกำหนดด้านเงินทุน
ในระหว่างการ live เขากล่าวเสริมว่า "การจัดตั้งคลังสำรองนี้คือ วิวัฒนาการขั้นถัดไปที่จะผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นเป็น Bitcoin Treasury Company ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเกราะป้องกันชั้นดีในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง"
อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นปี 2569 น่าจะมีความคืบหน้าเกี่ยวกับ ดัชนี MSCI ที่เราได้คุยกับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่า MSTR จะหลุดโผ หรือไม่? เพราะถ้าหลุดโผจริง คาดว่าน่าจะมีผลกระทบต่อราคาหนักเลย
ปัจจุบัน Strategy มีการถือครอง Bitcoin แล้วกว่า 650,000 BTC คิดเป็นมูลค่าทั้งหมดประมาณ 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 74,436 ดอลลาร์ ต่อ BTC ใครที่ถือหุ้นของ strategy อยู่ ตามข่าวกันดี ๆ!!
เหมือนเตรียมรับเทศกาลปีใหม่ล่วงหน้า เมื่อ Paul Atkins ประธาน SEC สหรัฐ ออกมาประกาศ "กฎยกเว้นเพื่องานนวัตกรรม" (Innovation Exemption( ที่หลายคนรอคอย โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือน มกราคม ปีหน้า 2026 นี้!
ตัวกฎหมายนี้จะช่วยปลดล็อกให้บริษัทคริปโทฯ สามารถออกโทเคนและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้รวดเร็วทันใจ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการลงทะเบียนกับ SEC แบบเต็มรูปแบบในระยะเริ่มต้น ซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมหน้าการกำกับดูแลครั้งประวัติศาสตร์ โดยแรกเริ่มมีกำหนดจะเริ่มใช้ตั้งแต่เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา แต่ว่าติด Government Shutdown เลยทำให้ต้องเลื่อนออกไป
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจภายใต้การขับเคลื่อนของ Paul Atkins ภายใต้นโยบาย "Project Crypto" ก็คือการเสนอระบบ "การจำแนกประเภทโทเคน" โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ สินค้าดิจิทัล, ของสะสมดิจิทัล, เครื่องมือดิจิทัล, และหลักทรัพย์โทเคน พร้อมทั้งมีเงื่อนไขพิเศษแบบ "Sunset Provision" ที่ระบุว่าหากสินทรัพย์ใดพิสูจน์ได้ว่ามีความกระจายศูนย์โดยสมบูรณ์แล้ว สถานะความเป็น "หลักทรัพย์" จะสิ้นสุดลงทันที ซึ่งจะช่วยขจัดความคลุมเครือทางกฎหมายที่เคยเป็นตัวถ่วงนวัตกรรมมายาวนาน
https://youtu.be/TmtVitvrHTw