ก.ล.ต. เดินหน้าปรับปรุงกลไกบังคับใช้ กม.ดึง จนท.ร่วมเป็น"พนักงานสอบสวน"คดี High Impact

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 8, 2025 16:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยแพร่บทความ "การเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมาย ของ ก.ล.ต."ว่า "การบังคับใช้กฎหมาย" เป็นหนึ่งในบทบาทหน้าที่ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญมาตลอด โดยดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดในทุกกรณี ซึ่ง ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงกระบวนการและมีมาตรการหลายด้านเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมายภายใต้ความรับผิดชอบของ ก.ล.ต. และจะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ผ่านมา หลายกรณีสามารถดำเนินการกับผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็วขึ้น

กระบวนการบังคับใช้กฎหมายของ ก.ล.ต. เริ่มจากหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญคือ การตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่า มีการกระทำผิดตามกฎหมายหรือไม่ ก่อนที่จะเลือกมาตรการในการบังคับใช้กฎหมาย โดยในการตรวจสอบแต่ละกรณีมีระยะเวลาในการดำเนินการที่แตกต่างกันขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น แหล่งที่มาของพยานหลักฐาน ปริมาณข้อมูลที่ต้องพิจารณา และความซับซ้อนของการกระทำความผิด รวมทั้ง การเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องชี้แจงแสดงพยานหลักฐานตามสิทธิอันพึงมีก่อนพิจารณาดำเนินการ (Due Process of Law)

เมื่อพบว่ามีผู้กระทำผิด ก.ล.ต. สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ การดำเนินการทางปกครอง การดำเนินการทางอาญา และการดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่ง

(1) การดำเนินการทางอาญา เป็นกระบวนการบังคับใช้กฎหมายกับบุคคลซึ่งกระทำการหรือละเว้นกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ ก.ล.ต. กำกับดูแล สามารถดำเนินการได้ 2 ลักษณะ คือ

-การดำเนินคดีอาญาตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยในกระบวนการนี้ หลังจากการตรวจสอบในเชิงลึกแล้ว ก.ล.ต. จะ "กล่าวโทษ" ผู้กระทำผิดต่อพนักงานสอบสวน จากนั้นพนักงานสอบสวนจะสืบสวนสอบสวน รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน และเสนอความเห็นเกี่ยวกับคดีไปยังพนักงานอัยการ และพนักงานอัยการจะพิจารณาความสมบูรณ์ครบถ้วนของสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ก่อนมีความเห็นสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาตามสำนวนการสอบสวนดังกล่าว และในคดีที่พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำเลยแล้ว ศาลยุติธรรมจะเป็นผู้พิจารณาและพิพากษาต่อไป

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. แล้ว กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปจะเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม แต่ ก.ล.ต. ยังติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง และให้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่

- การเปรียบเทียบความผิดอาญา โดย "คณะกรรมการเปรียบเทียบ" จะเป็นผู้กำหนดค่าปรับ สำหรับความผิดบางลักษณะที่กฎหมายกำหนดให้สามารถเปรียบเทียบปรับได้

(2) การดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่ง เริ่มใช้เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2559 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายให้รวดเร็วมากขึ้น ทั้งด้านหลักทรัพย์และสินทรัพย์ดิจิทัล ในความผิดเกี่ยวกับกระทำการอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขาย (เช่น การสร้างราคาและการใช้ข้อมูลภายใน) การบอกกล่าวข้อความเท็จ การยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีซื้อขาย และการไม่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการหรือผู้บริหาร

เมื่อ ก.ล.ต. พบการกระทำผิดและเห็นควรใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำผิด ก.ล.ต. จะเสนอให้ "คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง" หรือ ค.ม.พ. พิจารณาว่าสมควรใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำผิดหรือไม่ และลงโทษด้วยมาตรการใดบ้าง (เช่น ปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับฯ และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารฯ) ซึ่ง ค.ม.พ. สามารถใช้มาตรการที่เหมาะสมกับข้อเท็จจริงของแต่ละกรณี

ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ก.ล.ต. มีอำนาจฟ้องบุคคลนั้นต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ศาลพิจารณากำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งให้จำเลยปฏิบัติ พร้อมกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายให้จำเลยชำระนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จ

(3) การดำเนินการทางปกครอง เป็นกระบวนการบังคับใช้กฎหมายด้วยการออกคำสั่งทางปกครองกับบุคคลที่ได้รับอนุญาต ได้รับความเห็นชอบ หรือได้ขึ้นทะเบียนตามกฎหมายที่ ก.ล.ต. กำกับดูแล โดยผู้มีอำนาจออกคำสั่งทางปกครองมีหลายระดับ เช่น ก.ล.ต. คณะกรรมการพิจารณาโทษทางปกครอง หรือคณะกรรมการ ก.ล.ต. และการสั่งการก็มีได้หลายลักษณะ เช่น ปรับทางปกครอง จำกัดการประกอบการ พักการประกอบการ และเพิกถอนใบอนุญาต

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2566-2568 การดำเนินการบังคับใช้กฎหมายผ่านทั้ง 3 ช่องทางหลักของ ก.ล.ต. มีจำนวนคดีที่แล้วเสร็จเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีจำนวน 82 คดี ผู้กระทำผิด 280 ราย ปี 2567 มีจำนวน 128 คดี ผู้กระทำผิด 346 ราย และในปี 2568 (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2568) มีจำนวน 158 คดี ผู้กระทำผิดรวม 373 ราย

ในปี 2568 (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน) ก.ล.ต. มีการดำเนินคดีอาญาโดยการกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน จำนวน 48 คดี ผู้กระทำผิด 114 ราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการกล่าวโทษในฐานความผิด 4 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ (1) ฐานความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ เช่น การสร้างราคา การใช้หรือเปิดเผยข้อมูลภายใน และการแพร่ข่าวหรือข้อความเท็จ (2) การทุจริต (3) แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งในสาระสำคัญ และ (4) ประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งหมด 12 คดี ผู้กระทำความผิด 47 ราย

ขณะที่มีการดำเนินการตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง จำนวน 22 คดี ผู้กระทำผิด 119 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นฐานความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ ทั้งการสร้างราคา การใช้หรือเปิดเผยข้อมูลภายใน และการแพร่ข่าวหรือข้อความเท็จ รวม 17 คดี ผู้กระทำผิดรวม 91 ราย

นอกจากการปรับปรุงกระบวนการและเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมายในช่วงที่ผ่านมาแล้ว ก.ล.ต. ยังมีแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายให้มากขึ้นอีก โดยได้เสนอแก้ไขกฎหมายให้เจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. เป็นพนักงานสอบสวนในคดี high impact เพื่อบูรณาการทำงานร่วมกับพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือพนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการร่วมสอบสวนคดีโดยใช้ความเชี่ยวชาญมาช่วยให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายในกรณี high impact มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในขณะนี้อยู่ในกระบวนการออกกฎหมาย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ