ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับความท้าทายสำคัญประการหนึ่ง คือ หุ้นที่เสนอขายแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO) จำนวนไม่น้อยราคาปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคาเสนอขายตั้งแต่วันแรกที่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น
ปรากฏการณ์ดังกล่าวนำไปสู่คำถามในวงกว้างว่า การกำหนดราคา IPO มีความเหมาะสมเพียงใด และปัจจัยใดกันแน่ที่เป็นตัวกำหนดทิศทางราคาหลังเข้าซื้อขาย
งาน "SET Zooom in :เจาะลึกกระบวนการ และปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้น IPO" ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ได้มีมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญในตลาดทุน มาให้ความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องของตลาดทุน

โดยมี นายสรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และ สายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะประธานชมรมวาณิชธนกิจ
นายทินพันธุ์ หวั่งหลี รองกรรมการผู้จัดการ บล. กสิกรไทย
การอธิบายกลไกการตั้งราคา IPO อย่างเป็นระบบ และชี้ให้เห็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน
กระบวนการกำหนดราคา IPO จะคำนวณ จากที่มูลค่าเหมาะสม จนไปถึงราคาที่เสนอขาย
การกำหนดราคา IPO ในตลาดหุ้นไทยไม่ได้เป็นการตั้งราคาโดยพลการ หากแต่เป็นกระบวนการที่อาศัยการประเมินมูลค่าทางการเงินอย่างรอบด้าน โดยมีที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor: FA) และผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriter) เป็นผู้ดำเนินการร่วมกับบริษัทผู้ออกหุ้น
โดยทั่วไป วิธีการกำหนดราคา IPO แบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลัก ได้แก่
1.การกำหนดราคาแบบ Book Building เป็นวิธีที่กำหนดช่วงราคาเสนอขาย และเปิดให้นักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการซื้อ (Demand) ในระดับราคาต่างๆ
ข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำมาประกอบการตัดสินใจเลือกราคาเสนอขายสุดท้าย ซึ่งสะท้อนความต้องการของตลาดในช่วงเวลานั้น
2.การกำหนดราคาแบบ Fixed Price เป็นการตั้งราคาเสนอขายโดยอิงจากการประเมินมูลค่าของ FA และ Underwriter โดยไม่ได้เปิดรับการแสดงความต้องการซื้อในรูปแบบ Book Building
หัวใจสำคัญของทั้งสองวิธี คือการประเมิน "มูลค่าเหมาะสม" (Fair Value) ของบริษัท ซึ่งมักพิจารณาจากตัวชี้วัดทางการเงิน เช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) เทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน รวมถึงแนวโน้มการเติบโต ความสามารถในการทำกำไร ฐานะทางการเงิน และความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ราคา IPO มักถูกกำหนดให้ต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมในระดับหนึ่ง เพื่อชดเชยความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของการเข้าซื้อขายในตลาดรอง
งานสัมมนาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น IPO หลังเข้าตลาด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาเสนอขายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลลัพธ์จากหลายปัจจัยที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ อาทิ
1. ความเหมาะสมของกระบวนการกำหนดราคา
หากราคา IPO ถูกตั้งไว้สูงเกินกว่าพื้นฐานหรือความคาดหวังของตลาด โอกาสที่ราคาจะปรับตัวลดลงหลังเข้าซื้อขายย่อมมีเพิ่มขึ้น
ในทางกลับกัน หากราคาที่สะท้อนมูลค่าและความเสี่ยงอย่างเหมาะสม จะช่วยสร้างเสถียรภาพในช่วงเริ่มต้นซื้อขาย
2. การจัดสรรและการกระจายหุ้น
โครงสร้างการถือหุ้นและการกระจายหุ้นไปยังนักลงทุนมีผลต่อสภาพคล่องในตลาดรอง หากหุ้นกระจุกตัวอยู่กับผู้ถือหุ้นบางกลุ่มมากเกินไป อาจทำให้แรงซื้อขายในตลาดไม่สมดุล และเพิ่มความผันผวนของราคา
3. สภาพคล่องและภาวะตลาดโดยรวม
ภาวะตลาดทุนในช่วงที่บริษัทเข้าระดมทุนมีบทบาท และเป็นตัวชี้นำอย่างมาก ในช่วงที่สภาพคล่องในระบบลดลง นักลงทุนมีความระมัดระวังสูง แรงซื้อในตลาดรองอาจไม่เพียงพอรองรับหุ้น IPO แม้บริษัทจะมีพื้นฐานที่ดี
4. พื้นฐานและผลการดำเนินงานของบริษัท
ในระยะยาว ราคาหุ้นจะสะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริง หากผลประกอบการหลังเข้าตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนย่อมลดลงและส่งผลต่อราคาหุ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สาระสำคัญจากงาน SET Zooom in ครั้งนี้ คือการย้ำว่า หุ้น IPO ไม่ควรถูกประเมินจาก "ราคาเสนอขาย" หรือ "กระแสความนิยม" เพียงอย่างเดียว นักลงทุนควรพิจารณาองค์ประกอบทั้งด้านมูลค่า พื้นฐานธุรกิจ โครงสร้างผู้ถือหุ้น และบริบทของตลาดในช่วงเวลานั้นควบคู่กัน
การทำความเข้าใจกลไกเหล่านี้ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถแยกแยะได้ว่า การปรับตัวของราคาหุ้นหลังเข้าเทรดเกิดจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง หรือเป็นเพียงผลของภาวะตลาดในระยะสั้น ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการลงทุนในตลาดทุนยุคที่ความผันผวนและความไม่แน่นอนยังคงเป็นโจทย์ใหญ่
ทั้งนี้ หุ้น IPO ไม่ใช่หุ้นที่ "ต้องขึ้น" เสมอไป
บทเรียนสำคัญจากงาน SET Zooom in คือ หุ้น IPO เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการให้ข้อมูลในตลาดหุ้น ไม่ใช่การการันตีกำไร ราคาหุ้นหลังเข้าเทรดจะสะท้อน ทั้งพื้นฐานธุรกิจ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสภาพตลาด ในขณะนั้น
การมอง IPO อย่างเข้าใจกลไก และไม่คาดหวังกำไรระยะสั้นมากเกินไป จะช่วยให้การลงทุนมีความมั่นคงและยั่งยืนมากขึ้นในระยะยาว
งานสัมมนา "SET Zooom in : เจาะลึกกระบวนการ และปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้น IPO" ช่วยยกระดับความเข้าใจของนักลงทุนต่อหุ้น IPO จากการมองเชิง "ราคาเสนอขาย" ไปสู่การมองเชิง "โครงสร้างตลาดทุน" อย่างรอบด้าน โดยมีสาระสำคัญที่นักลงทุนสามารถนำไปใช้ได้จริง ดังนี้
1. เข้าใจกลไกการตั้งราคา IPO อย่างเป็นระบบ
นักลงทุนได้เห็นภาพชัดเจนว่า ราคา IPO ไม่ได้เกิดจากการ "คาดเดา" หรือ "ความต้องการระดมทุน" ของบริษัทเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นผลจากกระบวนการประเมินมูลค่าที่มี FA และ Underwriter ทำหน้าที่เป็นคนกลาง
ตั้งแต่การประเมินมูลค่าเหมาะสม (Fair Value) การเลือกวิธี Book Building หรือ Fixed Price ไปจนถึงการกำหนดราคาที่สะท้อนทั้งพื้นฐาน ความเสี่ยง และสภาพตลาดในขณะนั้น
2. เข้าใจบทบาทที่แท้จริงของ FA และ Underwriter
ทำให้นักลงทุนเข้าใจว่า FA และ Underwriter ไม่ได้มีหน้าที่ "ดันราคา" แต่ทำหน้าที่สร้างสมดุลระหว่างความต้องการของบริษัทผู้ออกหุ้น ,ความคาดหวังของนักลงทุน และความสามารถของตลาดรองในการรองรับหุ้นใหม่
บทบาทดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพราคาหุ้นในช่วงหลังเข้าซื้อขาย
3. มองราคาหุ้น IPO หลังเข้าเทรดอย่างมีเหตุผลมากขึ้น
นักลงทุนได้รับกรอบการคิดว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงหลังเข้าเทรด ไม่ได้หมายความว่าการตั้งราคา IPO ผิดพลาดเสมอไป แต่เป็นผลลัพธ์ของหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น ความเหมาะสมของราคาเมื่อเทียบกับภาวะตลาด, โครงสร้างและการกระจายหุ้น, ระดับสภาพคล่องในระบบ รวมถึง ความคาดหวังของนักลงทุนในช่วงเวลานั้น ประกอบกับช่วยลดอคติในการตัดสินหุ้น IPO จากการเคลื่อนไหวระยะสั้น
4. แยกแยะ "ปัจจัยโครงสร้าง" ออกจาก "ภาวะตลาดระยะสั้น"
หนึ่งในบทเรียนสำคัญ คือ นักลงทุนควรแยกให้ออกว่า ราคาหุ้นที่อ่อนตัว เกิดจากโครงสร้างการตั้งราคาและการจัดสรรหุ้น หรือ เป็นผลจากภาวะตลาดและสภาพคล่องที่ตึงตัวในช่วงเวลานั้น
ทักษะนี้ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าจะ "รอดู", "ถือยาว" หรือ "หลีกเลี่ยง" หุ้น IPO บางตัว
5. ปรับมุมมองต่อ IPO จากการเก็งกำไรสู่การลงทุน
การย้ำว่า หุ้น IPO ไม่ใช่หุ้นที่ "ต้องขึ้น" และไม่ใช่เครื่องมือการันตีกำไรระยะสั้น แต่เป็นจุดเริ่มต้นของบริษัทในตลาดทุน ซึ่งราคาหุ้นในระยะยาวจะสะท้อนผลการดำเนินงานจริง ความสามารถในการแข่งขัน และความน่าเชื่อถือของธุรกิจ
6. เสริมวินัยและกรอบคิดให้กับนักลงทุนมือใหม่
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ งานนี้ช่วยสร้างกรอบคิดที่ถูกต้องในการประเมิน IPO โดยไม่ยึดติดกับราคาเสนอขายหรือกระแสความนิยม และให้ความสำคัญกับมูลค่า พื้นฐาน และบริบทตลาด อีกทั้ง ยังลดความคาดหวังกำไรเร็ว และเพิ่มโอกาสการลงทุนอย่างยั่งยืนอีกด้วย
ธิติ ภัทรยลรดี