นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยถึง แนวโน้มการลงทุนในเดือนธันวาคม 2568 ประเมินว่าตลาดหุ้นโลกยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ หรือมี Upside จากแรงส่งของกระแสเงินทุนไหลเข้าในช่วงท้ายปี หรือ Window Dressing ควบคู่ไปกับความชัดเจนของทิศทางดอกเบี้ยเฟด จึงยังคงแนะนำกลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบสมดุล หรือ Barbell Strategy เพื่อกระจายความเสี่ยงและโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีดยแนะนำให้แบ่งสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างโอกาสเติบโตสูงควบคู่ไปกับสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
กองทุนแรกที่แนะนำสำหรับฝั่งการเติบโตคือ กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Technology (ES-GTECH) ซึ่งมีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก Polar Capital Global Technology Fund ที่เน้นลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก บริหารจัดการโดย Polar Capital Funds public limited company ซึ่งกองทุนนี้มีการลงทุนและจับจังหวะที่วัฏจักรดอกเบี้ยกำลังเข้าสู่ขาลง ซึ่งตามสถิติแล้วหุ้นกลุ่มเติบโตและเทคโนโลยีมักจะมีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดี
นอกจากนี้ เรายังเห็นแรงหนุนจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI ที่กลับเข้ามาสะท้อนในผลประกอบการไตรมาสล่าสุดอย่างชัดเจน โดยหลายบริษัทเทคโนโลยีมียอดการใช้จ่ายด้าน AI และธุรกิจ Cloud ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ประกอบกับกองทุนมีการกระจายการลงทุนไปทั่วโลก ไม่ได้กระจุกตัวเพียงแค่ในสหรัฐฯ ทำให้สามารถคว้าโอกาสจาก Supply Chain ของเทคโนโลยีในเอเชียได้อีกด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับการสะสมเพื่อรับโอกาสเติบโตในระยะยาว
ในส่วนของสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง หรือ Defensive เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต แนะนำกองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Healthcare (ES-HEALTHCARE) ที่ลงทุนในกองทุนหลัก Janus Henderson Global Life Sciences Fund บริหารจัดการโดย Janus Capital Management LLC และ Janus Capital Funds plc ความน่าสนใจของกองทุนนี้อยู่ที่การบริหารจัดการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีพื้นฐานด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์ระดับปริญญาเอกโดยตรง ทำให้มีความได้เปรียบในการวิเคราะห์โอกาสความสำเร็จของนวัตกรรมยาและการรักษาใหม่ๆ ได้ลึกซึ้งกว่าตลาด
นอกจากนี้ กลุ่ม Healthcare ยังได้รับอานิสงส์ข่าวดีจากการที่รัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะยอมรับโครงการต่ออายุเงินอุดหนุน Obamacare ออกไปอีก 2 ปี ซึ่งจะช่วยหนุนรายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลและประกันสุขภาพให้มีความมั่นคง อีกทั้งยังมีการเจรจาลดราคายากับบริษัทยายักษ์ใหญ่แลกกับสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษี ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนวิกฤตด้านนโยบายควบคุมราคาให้เป็นโอกาสในการขยายตลาด ทำให้กลุ่ม Healthcare เป็นหลุมหลบภัยชั้นดีในช่วงที่ตลาดยังมีความไม่แน่นอน
กองทุนสุดท้ายที่เราแนะนำเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงไปยังภูมิภาคที่มีศักยภาพการเติบโตสูงคือ กองทุนเปิดอีสท์สปริง Asia Active Equity (ES-ASIA) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพดีทั่วภูมิภาคเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น โดยลงทุนในกองทุนหลักกองทุน Schroder International Selection Fund -Emerging Asia Class A2 Acc USD บริหารจัดการโดย Schroder Investment Management (Europe) S.A
ปัจจัยบวกสำคัญที่สนับสนุนกองทุนนี้คือความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอาจนำไปสู่การเดินทางเยือนประเทศจีนของทรัมป์ ซึ่งช่วยลดแรงกดดันด้านภาษีการค้าและหนุนบรรยากาศการส่งออกในภูมิภาค ประกอบกับทางการจีนได้เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตของ GDP ในขณะที่อินเดียเองก็กำลังได้รับปัจจัยบวกจากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงกำแพงภาษี ซึ่งจะช่วยกู้ยอดส่งออกให้ฟื้นตัว ควบคู่ไปกับการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางอินเดีย
การลงทุนในภูมิภาคเอเชีย ณ ระดับราคาปัจจุบันที่ยังถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว จึงเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากตลาดที่ยังเป็น Laggard Play